Saturday, December 5, 2015

แม่ครับ..ผมขอโทษ

ในวันตรุษจีน หลังจากไหว้บรรพบุรุษเสร็จเรียบร้อย
ตอนเที่ยง ลูกหลานก็นั่งล้อมโต๊ะ โดยมีแม่นั่งเด่นเป็นประธาน
ลูก ๗ คน (น้องชายเสียชีวิต ๑ คน) หลาน ๑๕ คน เยอะจนต้องแยกโต๊ะให้เด็กๆ อีก ๒ โต๊ะ
กินกันจนอิ่มหนำสำราญ ก็นั่งคุยกัน ส่วนมากมักจะย้อนไปในวัยเยาว์
แต่มีประโยคหนึ่งที่แม่พูดเหมือนเดิมทุกปีเหมือนกับว่าเรื่องนี้ติดอยู่ในใจของแม่ตลอดมา
ฉันก็อยากบอกแม่ว่า เรื่องนี้ก็ติดอยู่ในใจฉันตลอดมาเหมือนกัน

: :: ::: :::: ::: :: :

ตอนนั้นฉันอายุ ๑๕ ย่าง ๑๖
อายุขนาดนี้ สำหรับแม่...เราทำอะไร แม่ก็ขัดตา
อายุขนาดนี้ สำหรับเรา...แม่พูดอะไร เราก็ขัดหู
วิวาทะระหว่างแม่ลูกก็มักจะจบลงด้วยการถูกตี
ไม่ใช่การยืนกอดอก ใช้ไม้เรียวฟาดก้นเหมือนที่โรงเรียน
แต่เป็นฝ่ายหนึ่งเงื้อไม้ขัดหม้อข้าวที่หนาหนัก ฟาดทุกที่ที่ฟาดได้
อีกฝ่ายหนึ่งยกมือยกไม้ป้องกันตัว จนดูเหมือนว่า "สู้"

: :: ::: :::: ::: :: :

ฉันไม่ใช่เด็กเกเร
อยู่โรงเรียนก็เป็นทั้งหัวหน้าห้องและหัวหน้านักเรียนทั้งโรงเรียน
ฉันสอบได้ที่ ๑ หรือ ๒ เป็นประจำ โดยไม่มีใครเคี่ยวเข็ญ
ลูกทุกคน ต่างคนก็ต่างรับผิดชอบตัวเอง ทุกคนมีหน้าที่เรียนและทำงานบ้านที่ได้รับมอบหมาย
หลังจากเตี่ยเสียชีวิตไป ลูกๆ ๘ คนและยายอีก ๑ คนคือภาระของแม่คนเดียวที่ต้องเลี้ยงดู
พี่บางคนก็ต้องออกจากโรงเรียนตั้งแต่ ป.๔ เพื่อให้น้องได้เรียน
พี่ๆ ๕ คน ได้เรียนต่อแค่ ๒ คน ฉันและน้องอีก ๒ คน
รวมเป็น ๕ คน ที่เป็นภาระของแม่
...แม่เครียดกับภาระนี้...
...ลูกๆ ก็เครียดกับความเครียดของแม่...

: :: ::: :::: ::: :: :
แล้ววันที่เกิดเป็นรอยแผลในใจทั้งของฉันและของแม่ก็เกิดขึ้น
หลังจากปิดเทอมเมื่อสอบชั้น ม.ศ. ๒ เสร็จ ไม่กี่วัน
ฉันจำต้นเรื่องที่ทำให้แม่ดุด่าไม่ได้
จำได้แต่ว่า ในวัยนั้น ฉันเถียงเก่งจริงๆ เก่งอย่างที่เรียกว่า "เถียงคำไม่ตกฟาก" เลยล่ะ
หลังวิวาทะ โต้เถียง แม่ไปหยิบไม้ขัดหม้อข้าวคู่ใจ
ฉันยืนนิ่งๆ ให้แม่ตี โดยไม่ถอยหนีไม่ป้องกันเหมือนที่เคยทำ
แม่อยากจะตีตรงไหนก็ตีไป จนเป็นริ้วระบมทั่วทั้งแขนสองข้าง หลัง และไหล่
หลังของฉันเลือดออกซิบๆ
หัวใจของฉันเป็นแผล เลือดออกซิบๆ
แม่ตีไป ร้องไห้ไป
ฉันกลั้นสะอื้น ตะโกนออกไปว่า
"อยู่บ้านนี้อั๊วไม่มีความสุขเลย"

แม่คงผิดหวังลูกคนนี้ที่สุด ตวาดกลับมาทั้งน้ำตาว่า
"ลื้อไปเลย ที่ไหนมีความสุขกว่าบ้านนี้ ลื้อก็ไปเลย"

ฉันหันหลังให้แม่ เดินไปหยิบเสื้อมาใส่
ปวดแผลเหลือเกิน แต่ปวดข้างในนั้นยิ่งกว่านัก
หยิบกระป๋องออมสินที่คงมีเงินไม่เกิน ๒๐ บาท ใส่กระเป๋ากางเกง
ยายร้องไห้มาเกาะขาฉันไว้
"อย่าไป ลูกอย่าไป"
แล้วหันไปตวาดว่าแม่
"เป็นแม่ภาษาอะไร มาไล่ลูกออกจากบ้านแบบนี้"
ฉันแกะแขนยายออก
"อาม้า อั๊วอยู่บ้านนี้ไม่ได้แล้ว อั๊วไปก่อนนะ"

แล้วฉันก็เดินร้องไห้ออกจากบ้านมา ทิ้งเสียงร้องไห้โฮของยายไว้เบื้องหลัง
เพื่อนบ้านบางคนเรียกจะใส่ยาให้ แต่ฉันปฏิเสธ
...ปวดแผลเหลือเกิน
แต่ปวดข้างในนั้นยิ่งกว่านัก...

: :: ::: :::: ::: :: :
ไม่ใช่เรื่องยากที่จะโบกรถสิบล้อจากที่ตลาดเข้าตัวจังหวัดสุพรรณฯ
...แต่ฉันไม่รู้จะไปไหน...
รถคันที่รับฉันขึ้นมา เขาไปแค่นครปฐม ฉันขอลงที่องค์พระฯ
โบกรถต่อ มาลงวงเวียนใหญ่ที่ฉันพอจะรู้จัก
ที่อนุสาวรีย์พระเจ้าตากสิน ฉันนั่งแคะออมสิน ได้เหรียญสลึงเหรียญห้าสิบทั้งหมด ๑๘ บาท...
...เริ่มคิดถึงการเอาชีวิตให้รอด ในเมืองที่ฉันไม่คุ้นเคย...

: :: ::: :::: ::: :: :

ดวงอาทิตย์ลับฟ้าไปแล้ว
ฉันเดินไปเดินมาแถวโรงหนังสุริยา ตัดสินใจกินก๋วยเตี๋ยว หมดไป ๑๐ บาท ยังมีเหรียญเหลือในกระเป๋าอีก ๘ บาท
ก็พออิ่มไปได้อีกมื้อเมื่อท้องได้เติมน้ำเปล่าๆ เพิ่มเข้าไปอีกหลายแก้ว
เดินเตร่ย่านวงเวียนใหญ่ ไปถึงสำเหร่ เดินย้อนกลับมาอีกทีถึงสะพานพุทธ เข้าลาดหญ้า
สุดท้ายก็มานอนที่วงเวียนใหญ่ เพราะไม่เปลี่ยว มีคนนั่งๆ นอนๆ กันเยอะ
พื้นหญ้ายังอุ่นๆ จากไอแดด
แม้นุ่มกว่าเสื่อที่เคยปูนอนบนเตียง แต่ก็ไม่สบายตัว
สองมือประสานแทนหมอนนุ่มๆ ที่บ้าน
ตาก็เพ่งมองดวงดาวที่ดารดาษเกลื่อนฟ้า..มันก็ดวงเดียวกับที่เห็นจากที่บ้าน
ความคิดที่เลื่อนลอย คิดไปต่างๆ นานา
ทุกเรื่องล้วนโยงกลับไปเปรียบเทียบกับที่บ้าน
คิดแล้วน้ำตาก็ไหลออกมาไม่รู้ตัว
กองทัพยุงบุกมาจนนอนต่อไม่ไหว ต้องลุกขึ้นเอนนั่งพิงต้นไม้
สองมือปัดยุงเป็นพัลวัน
สุดท้ายยอมแพ้ปล่อยให้กองทัพยุงสูบเลือดตามสบาย
แม้ยุงกัดจะน่ารำคาญ แต่เสียงยุงที่บินตอมหน้าตาน่ารำคาญยิ่งกว่า
แม้ยุงกัดจะเจ็บ แต่รอยแผลที่ถูกตียังเจ็บยิ่งกว่า
และใจก็ยังเจ็บแปลบๆ
คิดถึงมุ้งเก่าๆ แต่สะอาดสะอ้านของที่บ้าน
คิดถึงเตียงนอนไม้กระดานที่แต่ละแผ่นกว้างเป็นศอกๆ
คิดถึงวันคืนที่ได้กินร้อนนอนอุ่น
คิดถึงยาย
คิดถึงน้องสองคน
น้ำตาก็พานไหลออกมาอีก...จนหลับไป
เสียงแตรรถ ทำให้ตกใจตื่น
ยังคิดว่านอนอยู่ที่บ้าน แต่ตัวชื้นชุ่มเพราะน้ำค้าง
มองไปรอบตัว คนที่นอนอยู่ในวงเวียนหายไปกว่าครึ่งแล้ว
ฉันเดินโผเผไปทางดาวคะนองด้วยตัวที่ลายพร้อยไปด้วยผื่นยุง
ท้องร้องโครกคราก หิวจนจะเป็นลม
ไม่เคยหิวแบบนี้ แม้ที่บ้านจะไม่ร่ำรวย แต่อาหารการกินไม่เคยขาดแคลนแถมยังรสเลิศอีกด้วย
ใกล้เที่ยงแล้วนั่นแหละ มาถึงแถวจอมทอง
เห็นเด็กรุ่นเดียวกันทำงานที่ร้านทำเหล็กดัดมุ้งลวด
เดินเข้าไปถามหาเถ้าแก่
ขอข้าวสักมื้อแลกกับแรงงาน
เถ้าแก่บอกให้ไปกินข้าวก่อนแล้วค่อยคุยกัน
ข้าวสวยแข็งๆ สองจานพูนๆ กับสารพัดผักผัดน้ำมัน
ทำให้มีเรี่ยวมีแรง
น้ำยาอุทัยจากกระติกแช่น้ำแข็งก้อนใหญ่
ทำให้ชุ่มชื่น
เถ้าแก่เมตตาให้งานทำ
ค่าแรงวันละสามสิบบาท กิน นอน ที่ร้าน
แรงงานขาดทักษะอย่างฉัน
ใหม่ๆ ก็ทำได้แค่ตัดเหล็ก ขัดขี้อ๊อก ขัดสี ทารองพื้น
แม้นจะกินแรงหนักหนา
แต่ไม่มีอะไรเหลือบ่ากว่าแรงเด็กบ้านนอกคนนี้
อาหารเย็น ผักผัดกับแกงจืดผักกาดขาวเจือกลิ่นหมูสับ
ทำให้นึกถึงกับข้าวโอชารสฝีมือยาย
น้ำพริกรสละมุนลิ้นกับผักลวก
...ยายกินข้าวหรือยังนะ
...น้องกินข้าวกับอะไรนะ
น้ำตาไหลจนต้องแอบเช็ด
คนงานนอนรวมกันที่ชั้นสามของร้าน
เสื่อขาดๆ หมอนเหม็นๆ ไม่มีมุ้ง
กองทัพยุงที่นี่ทำให้ยุงที่วงเวียนใหญ่กลายเป็นเรื่องเล็ก
นอนตบยุงจนมือสองข้างเต็มไปด้วยเลือด
แว่วเสียงเพื่อนคนงาน
"มึงจะตบทำไมวะ หนวกหู"
คิดถึงมุ้งที่บ้านจังเลย
อาหารเช้า ข้าวต้มกับยำกุ้งแห้ง
คนงานอาวุโสร้องบอก "กินข้าวต้มเยอะๆ กุ้งแห้งอย่าไปกินมาก"
นึกว่าเขาหวง
ตลอดสามเดือนต่อมา
ถ่ายหนักออกมาเป็นสีแดงทุกวัน
เพราะอาหารมื้อเช้า มีเมนูเดียว

นึกถึงปลาหมอทอดกระเทียมพริกไทย
นึกถึงปลาตะเพียนทอดน้ำปลา
นึกถึงปลาดุกย่าง น้ำปลาหวาน
นึกถึงปลาช่อนทอดคึ่นไช่
นึกถึงหมูผัดขิงฝีมือยาย
...ยายกินข้าวหรือยังนะ
...น้องกินข้าวกับอะไรนะ

ฝ่ามือที่แข็งกระด้างขึ้น
ทำให้นึกไปถึงงานบ้านที่ต้องรับผิดชอบ..แค่น้อยนิด แล้วยังบ่นจนถูกดุด่า
เนื้อตัวที่แห้งเป็นสะเก็ดเพราะควันและไอร้อนจากการอ๊อกเหล็ก
ทำให้นึกไปถึงมือแห้งเหี่ยวของยายที่คอยลูบไล้
ทำให้นึกไปถึงมือน้อยๆ นุ่มๆ ของน้องที่มาเกาะกุมให้พาไปเที่ยวเล่น

เดือนที่สองเถ้าแก่ก็ขึ้นเงินเดือนให้เป็นวันละห้าสิบบาท
เพราะเห็นว่ามีความรู้ จึงให้สอนหนังสือลูกสาวเถ้าแก่ที่รุ่นราวคราวเดียวกับน้อง
สอนหนังสือไป ก็อดคิดถึงน้องไม่ได้
ใครจะสอนหนังสือน้องนะ
ถ้าฉันไม่อยู่ตอนเปิดเทอม
อดคิดถึงตัวเองไม่ได้
ถ้าฉันไม่เรียนหนังสือ
ฉันจะต้องมาตัดเหล็กไปชั่วชีวิตหรือ
ฉันจะกินแค่ข้าวต้มกับยำกุ้งแห้งทุกเช้าหรือ
สามเดือนที่ทำงานในกรุงเทพฯ
ฉันเริ่มคิดหนัก ... จะกลับบ้านไปเรียนหนังสือต่อ หรือจะอยู่ทำงานที่นี่ต่อไป
เพื่อนๆ ก็พากันเขียนจดหมายมา
ให้กลับไปเรียนเถอะ...อีกปีเดียวก็จบแล้ว...
(ฉันเขียนจดหมายถึงเพื่อนบางคน ให้ไปบอกยาย ว่าไม่ต้องห่วงฉัน)
ข้อความในจดหมายของเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่ง
"ถึงนายจะหนีออกจากบ้านมาได้ แต่นายหนีความเป็นลูกไม่ได้"
ทำให้ฉันตัดสินใจได้

เถ้าแก่บอกว่า
ถ้าอยากทำงานก็ทำต่อไปได้สบายๆ
ถ้าอยากกลับไปเรียน ก็กลับไป
แต่เถ้าแก่บอกว่า
น่าเสียดาย
ถ้าวันนี้ลื้อมีปัญญาเรียน แล้วไม่เรียน

: :: ::: :::: ::: :: :

ฉันกลับมาบ้าน นั่งรถเมล์สีส้มกลับมา
ก้าวเดินเข้าบ้านที่เงียบเชียบ ไม่มีเสียงจักรเย็บผ้าของแม่ที่คุ้นเคย
แม่นอนอยู่บนเตียง
ตั้งแต่จำความได้ ฉันไม่เคยเห็นแม่นอนตอนกลางวันเลย
แม่มองฉัน แล้วพูดด้วยเสียงเรียบๆ
"กลับมาแล้วเหรอ"
"ฮื่อ" ฉันตอบห้วนๆ แล้วเดินไปหายายที่ลานหลังบ้าน
บ่ายๆ ยายชอบนั่งผึ่งลมที่นี่
ยายหลานสองคนกอดกัน ร้องไห้กันใหญ่

แม่หายดีและกลับมาเย็บผ้าได้เหมือนเดิมแล้ว
แต่ฉันไม่พูดกับแม่เลย ฉันจำไม่ได้ว่าอีกนานแค่ไหนกว่าที่ฉันจะพูดกับแม่
อาจจะหลังจากเพื่อนไม่อาจทนเห็นสภาพฉันกับแม่เป็นแบบนี้ก็ได้

เพื่อนมากระซิบกับฉันว่า..
แม่ฉันล้มป่วยตั้งแต่ฉันก้าวเท้าออกจากบ้านในวันนั้น !!


: :: ::: :::: ::: :: :

ในวันตรุษจีน
ประโยคหนึ่งที่แม่พูดเหมือนเดิมทุกปี
เหมือนกับว่าเรื่องนี้ติดอยู่ในใจของแม่ตลอดมา
"พวกลื้อจำไว้เลย อย่าได้เอ่ยปากไล่ลูกออกจากบ้านเด็ดขาด"

ผมขอโทษครับ..แม่

: :: ::: :::: ::: :: :

เรื่องนี้เรียบเรียงใหม่จากเอนทรีเก่า ๒ เรื่อง
- ความเห็นต่างระหว่างฉันและแม่...ฉันจึงเดินออกจากบ้าน
- นกเจ้าโผบิน


จากเรื่องเก่าใน www.oknation.net/blog/konto
วันพฤหัสบดี ที่ 15 กรกฎาคม 2553
Posted by คนโทใส่น้ำ , ผู้อ่าน : 4958

No comments:

Post a Comment