Sunday, December 6, 2015

มิยูกิที่รัก ตอนที่ 1


 
วันนี้เลขาฯ ได้นำซองจดหมายมาวางบนโต๊ะทำงานของผมแยกจากจดหมายธุรกิจทั่วๆ ไปอีกครั้ง เป็นคำสั่งของผมเองว่า ถ้ามีซองจดหมายสีฟ้าลายดอกซากุระ เขียนด้วยลายมือเป็นภาษาอังกฤษ ติดสแตมป์รูปซากุระ ให้แยกออกมาต่างหาก เพราะจดหมายนี้จะส่งมาถึงผมเดือนพฤษภาคมปีละครั้งเท่านั้น และจดหมายนี้เป็นฉบับที่ 21

แต่เมื่อเห็นความหนาของซองจดหมายที่ต่างจากทุกๆ ปี ลางสังหรณ์บางอย่างก็เกิดขึ้น ผมรีบเปิดซองจดหมายออกดูทันที ปีนี้ต่างจากทุกปีที่ปกติจะมีกระดาษจดหมาย 1 แผ่นและรูปถ่ายขนาดโปสการ์ด 1 ใบ ตรงที่มีซองจดหมายลักษณะเดียวกันแต่ไม่ได้จ่าหน้าซองพับครึ่งแนบมาด้วย

ผมเปิดกระดาษจดหมายออกมาก่อน พบว่าเป็นลายมือภาษาอังกฤษที่ไม่คุ้นเคย ระบุวันที่เขียนจดหมายก่อนจะมาถึงมือผม 7 วัน เนื้อความในจดหมายอ่านได้ความว่า

“ไทซัง

ยูมิได้ส่งจดหมายของคุณแม่ และรูปที่ยูมิเพิ่งไปถ่ายมาเมื่อวานนี้มาให้ และหลังจากนี้คุณแม่บอกว่าให้ยูมิเขียนจดหมายถึงไทซังทุกๆ ปีด้วย ซึ่งยูมิยินดีที่จะทำเพราะไทซังก็เหมือนญาติคนหนึ่งเพียงแต่ไม่เคยพบหน้ากันจริงๆ เท่านั้น
ขอพระผู้เป็นเจ้าอวยพระพรแด่คุณด้วย

ยูมิ”
 
ผมหยิบรูปถ่ายมาดู เป็นรูปครึ่งตัวของสาววัยรุ่นญี่ปุ่นในเครื่องแบบของสถาบันที่เธอเรียน หน้าตาเธอไม่ได้สะสวยนัก แต่ผิวหน้าขาวใสไม่มีสิวฝ้าเลย คิ้วเข้ม ดวงตากลมโต มุมของปากเรียวแดงจิ้มลิ้มที่เหมือนกำลังยิ้มนั้นทำให้เกิดลักยิ้มขึ้นด้วย ผมพลิกดูด้านหลัง เห็นเป็นลายมือเขียนเป็นภาษาอังกฤษว่า “ยูมิ อายุ 21 ปี” แล้วผมก็เปิดลิ้นชักที่โต๊ะเพื่อจะเก็บรูปรวมกับรูปของยูมิอีก 20 ใบ ที่ผมได้รับจากแม่ของเธอมาตั้งแต่ตอนเธออายุ 1 ปี

ซองจดหมายที่แนบมาด้วยนั้นไม่ได้ผนึกไว้ ผมจึงหยิบกระดาษจดหมายออกมา เพียงแค่ประโยคแรกที่อ่าน ความรู้สึกเหมือนมีอะไรมาฉุดกระชากพลังในตัวของผมออกจนหมด จากม่านน้ำตาที่ทำให้จดหมายพร่ามัวก็แปรเปลี่ยนเป็นสายน้ำจากตาที่ทำให้ผมไม่อาจจะอ่านจดหมายต่อไปได้
:: :: :: :: ::

กรุงเทพมหานคร
ในวาระฉลองครบรอบ 200 ปี
“สวยมาก สวยจริงๆ” มิยูกิพูดขึ้นก่อนจะก้มไปดูดน้ำมะพร้าวจากถุงพลาสติก เราสองคนกำลังนั่งอยู่ที่ฐานพระปรางค์วัดอรุณฯ “ไม่น่าเชื่อว่าอยู่ใกล้แค่นี้ ไทซังก็ยังไม่เคยมาดู” มิยูกิพูดต่อ

“บางครั้งได้ชื่นชมอาจจะดีกว่าได้ใกล้ชิดนะ ดูอย่างพระจันทร์สิ มันสวยงามมาตั้งแต่ไหน จนมีรอยเท้าของนีล อาร์มสตรองนั่นแหละ” ผมพยายามแก้ตัว ทั้งๆ ที่มิยูกิพูดถูกต้อง

“เราจะกลับไปโรงแรมกันก่อนไหม” ผมถาม และมิยูกิก็พยักหน้ารับ ตอนนี้หน้าของเธอเต็มไปด้วยเหงื่อ แก้มสองข้างแดงเปล่งปลั่งด้วยความร้อน เธอลุกขึ้นยืนปัดกระโปรงยีนส์ที่ยาวเลยเข่า ก่อนจะหยิบเป้สัมภาระมาคล้องไหล่ ผมเป็นคนแนะนำให้เธอใส่กระโปรงและเสื้อที่ไม่หนานัก เพราะบางสถานที่ที่เราไปไม่อนุญาตให้นุ่งกางเกง ส่วนอากาศยามนี้เหมาะที่สุดสำหรับเสื้อบางเบา
เราเดินออกมาเรียกสามล้อที่ริมถนน โดยผมต้องให้เธอเกาะแขนผมไว้ ผมบอกปลายทางและต่อรองราคาเล็กน้อย ก่อนที่จะให้มิยูกิก้าวขึ้นบนรถก่อน เมื่อรถวิ่งมาบนสะพานพุทธ ลมเย็นๆ จากแม่น้ำเจ้าพระยาทำให้สดชื่นขึ้น แล้วผมก็คิดไปถึงเมื่อวานนี้

:: :: :: :: ::

“เอี๊ยด..ด...ด..” เสียงเบรกรถดังลั่นถนนตรงมุมโรงละครแห่งชาติ เมื่อรถหยุดนิ่งผมก็วิ่งเข้าไปดูพร้อมๆ กับคนขับรถแท็กซี่คันที่เบรก ข้างๆ รถแท็กซี่คันนั้นมีหญิงสาววัยรุ่นกำลังนั่งยองๆ เก็บข้าวของที่ร่วงกระจายบนพื้นถนนเก็บใส่เป้ของเธอ

“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ” คนขับแท็กซี่ถามด้วยสำเนียงทางภาคอิสาน แต่ดูเหมือนเธอจะฟังไม่เข้าใจ

“คุณบาดเจ็บหรือเปล่าครับ” ผมถามเธอเป็นภาษาอังกฤษ “ต้องการให้พาไปโรงพยาบาลมั้ย” เธอสั่นศีรษะ

“เขาว่าอย่างไรครับ” คนขับแท็กซี่ถาม ผมก็บอกเขาไป

“ยังงั้นผมไปส่งผู้โดยสารต่อนะ” คนขับแท็กซี่บอก ผมก็บอกเธอไป เธอพยักหน้า ผมเลยขอชื่อคนขับและจดเลขทะเบียนไว้ เผื่อมีปัญหาทีหลัง ก่อนที่แท็กซี่คันนั้นจะแล่นออกไปจากที่เกิดเหตุ

“ขอบคุณมากนะคะ” เธอพูดกับผม พร้อมกับจะลุกขึ้นยืน แต่เธอก็ต้องเสียหลักจนตัวเอียง ผมรีบเข้าประคองเธอเดินกลับขึ้นมาบนทางเท้า

“สงสัยจะข้อเท้าเคล็ดล่ะมั้ง ไปหาหมอที่คลินิกแถวนี้มั้ย” ผมถามเพราะเห็นว่าข้อเท้าเธอคงจะเคล็ดเพราะเสียหลักล้ม เนื่องจากตกใจ รถแท็กซี่คันนั้นไม่ได้เฉี่ยวหรือชนเธอหรอก

“ขอบคุณค่ะ ถ้าคุณจะกรุณาพาฉันไป” เธอยอมจำนน เพราะคงจะเห็นว่าข้อเท้าเธอเคล็ด

ผมจัดการเรียกสามล้อพาเธอไปคลินิกที่อยู่ตรงสี่แยกคอกวัว ในระหว่างนั้นผมกับเธอไม่ได้คุยกันเลย อาจจะเป็นเพราะต่างคนต่างพูดภาษาอังกฤษกันได้ไม่ดีนัก แต่ผมก็ต้องขอทราบชื่อเธอเพราะต้องแจ้งชื่อคนไข้ เธอหยิบพาสปอร์ตของเธอมาให้ดู ผมจึงทราบว่าเธอเชื่อ “มิยูกิ” และผมก็บอกชื่อตัวเองให้เธอรู้ระหว่างนั่งรอคิวตรวจ หลังจากคุณหมอตรวจและให้ครีมนวดแก้เคล็ดมา ผมก็ละล้าละลังว่าจะทำอย่างไรต่อไปเพราะมีนัดสังสรรค์กับเพื่อนๆ คืนนี้

“ถ้าคุณไม่รังเกียจ ฉันจะขอเลี้ยงอาหารค่ำเป็นการตอบแทนจะได้ไหมคะ” มิยูกิพูดด้วยเสียงมั่นใจเหมือนกับได้ไตร่ตรองมาเป็นอย่างดีแล้ว

“ไม่เป็นไรกระมังครับ ที่ผมทำวันนี้ไม่ได้หวังว่าคุณจะต้องตอบแทนอะไรเลย” เอ..ทำไมผมรู้สึกเขินๆ นะ

“ตกลงนะคะ งั้นเดี๋ยวคุณพาฉันกลับโรงแรมก่อน แล้วค่อยออกมาหาอะไรกินกัน” พูดเสร็จ เธอก็คว้าแขนผม ผมทำท่าจะเบี่ยงแขนหลบ แต่นึกขึ้นได้ว่าเธอจะจับแขนผมเพราะเธอเจ็บข้อเท้า...ผมรู้สึกอายตัวเองจังเลย...ผมเลยเข้าไปยืนข้างที่เธอเจ็บข้อเท้าเพื่อรับน้ำหนักที่ข้างนั้น
เมื่อลงมายืนริมถนนราชดำเนิน เธอขอให้ผมเรียกแท็กซี่ ผมถามชื่อโรงแรม เธอบอกว่า “โอเรียนเต็ล” ผมมองหน้าเธอแล้วถามว่า “ล้อเล่นหรือเปล่า” เธอบอกว่า “โอเรียนเต็ลจริงๆ ค่ะ”

บนรถแท็กซี่เธอถามผมว่า “ทำไมคุณถึงคิดว่าฉันล้อเล่นเรื่องโรงแรม”

“ก็ผมเข้าใจว่าโรงแรมนี้มีแต่พวกนักธุรกิจหรือพวกที่แต่งตัวหรูหราเข้าพัก...เอ่อ..”

“และคุณก็เห็นว่าฉันแต่งตัวไม่เหมือนพวกนั้น?” เธอถามแทรกทันที แล้วเธอก็ก้มมองตัวเอง เธอใส่เสื้อและกระโปรงผ้าฝ้ายพริ้วๆ เหมือนกับที่ชาวญี่ปุ่นชอบใส่กัน

“เปล่า ไม่ใช่เรื่องเสื้อผ้า แต่คุณดูเป็นเด็กเกินไป”

“อ๋อ โอเรียนเต็ลห้ามเด็กเข้าพัก” เธอพูดกลั้วเสียงหัวร่อ ผมเพิ่งสังเกตว่าเสียงเธอใส กังวาน เป็นเสียงแบบคนมีความสุขตลอดเวลา

เมื่อเดินเข้าไปในล็อบบี้โรงแรม ผมก็บอกกับมิยูกิว่าจะขอรออยู่ที่ล็อบบี้ แต่เธอบอกว่าให้ผมขึ้นไปล้างหน้าล้างตาได้ ผมก็มองไปรอบๆ ไม่เห็นพนักงานที่นี่มีท่าทางรังเกียจชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์ของผมเลย ผมก็เลยตามไปที่ห้องพักของเธอ
            
                    :: :: :: :: ::

เขียนครั้งแรกใน www.oknation.net/blog/konto
วันอาทิตย์ ที่ 5 ตุลาคม 2551
มิยูกิที่รัก (1)
Posted by คนโทใส่น้ำ , ผู้อ่าน : 2852

 

No comments:

Post a Comment