Sunday, December 6, 2015

หลายชีวิต ๒๕๕๐ - ภาคจบชีวิต ฯพณฯ แม้ว มั่งคั่ง (ลักสิน กินชะมัด)

เขียนครั้งแรก www.oknation.net/blog/konto
วันพฤหัสบดี ที่ 25 ตุลาคม 2550
หลายชีวิต ๒๕๕๐ - ภาคจบชีวิต ฯพณฯ แม้ว มั่งคั่ง (ลักสิน กินชะมัด)
Posted by คนโทใส่น้ำ , ผู้อ่าน : 276

 
          หลงจู๊แม้วได้รับตำแหน่งเป็นหลงจู๊ใหญ่อีกครั้งเป็นรอบที่สองด้วยการเป่ายิ้งฉุบชนะคู่แข่งอย่างขาดลอย ทำให้หลงจู๊มีความลำพอง ฮึกเหิมเป็นอย่างมาก คำเตือน คำทัดทานของสื่อมวลชนและนักวิชาการ กลายเป็นคำพูดขัดหู อะไรที่ใช้เงินฟาดหัวได้ก็ฟาดไป อะไรใช้เงินไม่ได้ก็ใช้อำนาจที่มีในมือทั้งบนดินใต้ดินเข้าขยี้ขย้ำออกอาการเศรษฐีเหลิงลมอย่างแท้จริง
 
          และแล้วจะเป็นบาป เป็นเคราะห์ หรือกรรมบันดาลก็แล้วแต่จะเชื่อกัน หลงจู๊แม้วที่คิดว่าไม่มีอะไรที่คนมีเงินและมีอำนาจอย่างเขาจะทำไม่ได้ ก็ได้แก้ขื่อแปของบ้านเมือง ด้วยการยอมให้คนต่างด้าวเข้ามามีส่วนในกิจการโทรคมนาคมได้ถึงครึ่งหนึ่ง จากเดิมที่มีส่วนได้เพียงเสี้ยวเดียว แถมต่างด้าวตึ๋งหนั่งเกี้ยที่ไหนจะมาเป็นใหญ่ในบริษัทกี่คนก็ไม่สนใจ เรียกว่าหลงจู๊แม้วปูทางสำหรับแผนในอนาคต (๒ วันข้างหน้า) ไว้เรียบร้อย
 
          เพราะถัดจากนั้นอีก ๒ วัน หลงจู๊ก็ขายหุ้นของตระกูลทั้งหมดให้บริษัทจากสิงคโปโตกเรียบร้อยโรงเรียนแม้ว โดยไม่สนใจว่าสิ่งที่ตัวเองขายน่ะไม่ใช่ของตัวเอง แถมเป็นความมั่นคงของแผ่นดิน และที่สำคัญหลงจู๊ไม่เห็นว่ามีความจำเป็นใดที่จะต้องให้เงินกระเด็นออกมาเป็นภาษีตามที่ควรจะเป็น นี่เป็นจุดเริ่มต้นที่หลงจู๊เริ่มจุดไฟที่กองฟอนโดยมีตัวเองนั่งอยู่บนเชิงตะกอน
 
          ถัดมาไม่กี่วันหลงจู๊ก็ทำการคว่ำกระดาน ให้มีการเป่ายิ้งฉุบใหม่ เพราะเหล่าจอมยุทธทั้งหลายเรียกร้องให้หลงจู๊ล้างมือในอ่างทองเหลืองไปซะแล้วต้องถูกสอบสวนเรื่องชั่วๆ ที่ก่อไว้มากมายด้วย แต่หลงจู๊ก็ยังไว้ลายเก๋าด้วยการกำหนดเงื่อนไขทุกอย่างให้ตัวเองได้เปรียบในการเป่ายิ้งฉุบ ทำให้จอมยุทธทั้งหลายไม่ยอมเล่นเป่ายิ้งฉุบด้วย หลงจู๊ก็ให้เหล่าม้าใช้ ไปจ้างจอมยุทธพเนจรทั้งหลายมาเล่นเป่ายิ้งฉุบแทน
 
          ถึงแม้จะประสบชัยในการประลองยุทธที่ลือลั่นแปลกประหลาดในประวัติศาสตร์บู๊ลิ้ม แต่ด้วยแรงกดดันมหาศาลจากเหล่าจอมยุทธคุณธรรมทั้งหลาย หลงจู๊แม้วมิอาจไม่ประกาศรับตำแหน่ง ต้องให้ลิ่วล้อคนหนึ่งขึ้นมารับเผือกร้อนเป็นการชั่วคราว ส่วนตัวหลงจู๊เองก็ร่อนเร่ไปเยือนหลงจู๊ต่างเผ่าต่างแดนเพื่อหาคนสนับสนุนตนเอง
 
          วาระสุดท้าย ขณะหลงจู๊แม้วไปร่วมประชุมดูเอ็น ที่ตนเองเคยบอกว่าไม่ใช่เตี่ยนั้น ขุนทัพทั้งหลายมิอาจทนต่อพฤติกรรมของหลงจู๊ ก็ได้ทำการยึดอำนาจหลงจู๊ เป็นอันสิ้นสุดอำนาจเหมือนกับผู้นำคลั่งอำนาจอีกหลายคนที่ต้องเคว้งคว้างอยู่ต่างแดน
 
          แต่คนอย่างหลงจู๊แม้วมีหรือจะยอมแพ้อะไรง่ายๆ เขาใช้เพลงมารทุกกระบวนท่าในการต่อสู้เพื่อหวนคืนสู่อำนาจ ทั้งอำนาจเงินก่อการภายใน ตีฆ้องร้องป่าวภายนอก การทำตัวให้เป็นข่าวอยู่ตลอดเวลา ซื้อทีมหมากเตะอั๊งม้อ ต่อท่อน้ำเลี้ยง แต่นับวันหลงจู๊จะอ่อนแรง เขาเริ่มรู้สึกว่ามีเงินใช่จะซื้อได้ทุกอย่าง
 
          สำนึกสุดท้ายของหลงจู๊...คือการกลับมาต่อสู้อย่างลูกผู้ชาย การกลับมาต่อสู้ภายใต้กฎเกณฑ์เหมือนอย่างที่คนดีๆ คนหนึ่งพึงกระทำ
 
          แต่อนิจจา...ชีวิตของหลงจู๊...ผิดมาทั้งชีวิต คิดจะทำสิ่งที่ถูกต้องสักครั้ง...ยังไม่มีโอกาส...หรือเป็นเพราะกรรมที่ได้ก่อไว้นั้น วิบัติถึงขั้นดินมิอาจเมตตา ฟ้ามิอาจให้อภัย
 
          สมบัติพัสถานที่กอบโกย โกงกินมา เอาไปได้เพียงที่เป็นเงินปากผี
 
          ร่างอันไร้วิญญาณของหลงจู๊ เหมือนคนนอนหลับธรรมดา ไม่มีคราบเลือด ไม่มีรอยไหม้ใดๆ เสื้อผ้าจะแหว่งวิ่นสักน้อยนิดก็ไม่มี  มีเพียงเส้นผมเท่านั้นที่เหลือเป็นหย่อมๆ จากอาการขี้กลากขึ้นหัว
 
หมายเหตุ
ควรบันทึกไว้ด้วยว่าหลงจู๊แม้วนั้นได้สร้างปรากฎการณ์ที่เป็นสีสันของบู๊ลิ้มไว้หลากหลายด้วยกัน อาทิเช่น
  • เป็นหลงจู๊ที่ผายลมออกอากาศในรายการ "หลงจู๊แหกตาประชาชน" ได้ต่อเนื่องยาวนาน
  • เป็นหลงจู๊ที่ร่ำรวยที่สุดที่เคยมีมา แต่จ่ายภาษีน้อยที่สุดที่เคยมีมาเหมือนกัน คือไม่จ่ายเลย
  • เป็นหลงจู๊ที่เดินตลาดอยู่ดีๆ ก็ถูกอาซ้อที่ขวัญเทียมฟ้าตะโกนไล่
  • เป็นหลงจู๊ที่สามารถจัดลำดับความสำคัญได้เก่งมั่กมั่ก "มณฑลไหนทำให้อั๊วเป่ายิ่งฉุบชนะ ก็ต้องได้รับการดูแลเป็นอย่างดีก่อนที่อื่น"
  • เป็นหลงจู๊ที่เคี่ยวเข็ญให้ชาวบ้านรู้จักภาษาอังกฤษทั่วหัวระแหง "No Vote" & "Vote No"
  • เป็นหลงจู๊ที่ทำให้อุตสาหกรรมสิ่งทอประเภทเสื้อเหลือง ผ้าพันคอ ผ้าโพกหัว ป้าย กล่องโฟมใส่ข้าว ขายดิบขายดี
  • เป็นหลงจู๊ที่ทำให้แก๊งที่สร้างมากับมือถูกสำนักมือปราบประกาศยุบแก๊งเป็นรายแรกในบู๊ลิ้ม
  • เป็นหลงจู๊ที่ทำให้ชนชั้นของคนในบู๊ลิ้มเหลือเพียงสองพวก คือ พวกกู กับ พวกมึง และทำให้สารถีขับควายไล่ชาวบ้านลงจากรถได้
  • เป็นหลงจู๊ที่ไม่มีรสนิยม ปากบอกชอบดอกไม้ ดันเขย่าต้นราชพฤกษ์หวังจะให้ดอกร่วง ขี้กลากเลยกินเต็มกบาล

หลายชีวิต ๒๕๕๐ - ภาคที่ ๒ ฯพณฯ แม้ว มั่งคั่ง (ลักสิน กินชะมัด)

เขียนครั้งแรก www.oknation.net/blog/konto
วันพุธ ที่ 24 ตุลาคม 2550
หลายชีวิต ๒๕๕๐ - ภาคที่ ๒ ฯพณฯ แม้ว มั่งคั่ง (ลักสิน กินชะมัด)
Posted by คนโทใส่น้ำ , ผู้อ่าน : 349



          Sin Cock ของนายแม้วเจริญรุดหน้าด้วยดำเนินธุรกิจ ให้เช่าคอมพิวเตอร์ วิทยุติดตามตัว โทรศัพท์เคลื่อนที่ ดาวเทียม เคเบิ้ลทีวี และโทรคมนาคมอื่นๆ ครบวงจร โดยมีเส้นสายทางการเมืองและทางครอบครัวภรรยาที่เป็นบิ๊กหมาต๋า

          ต่อมา นายแม้วได้ลาออกจากทุกตำแหน่งในบริษัท โดยเอาหุ้นไปซุกไว้ในจักแร้คนสนิทคือ ภรรยา ลูกชาย ลูกสาว และ คนรับใช้ เพื่อปกปิดบัญชีขุมทรัพย์ จากนั้นไม่นาน ก็ได้เป็นเสนาบดีบัวแก้วในสมัยมีดโกนชุบน้ำเชื่อม และในปีต่อมาเข้ารับตำแหน่งหัวหน้าแก๊งพลังฝาเข่งต่อจากท่านมหาจำเลือนและได้สะด๊วบตำแหน่งยี่หลงจู๊ ในสมัยปลาไหลใส่สเก็ต และได้สะเดิ๊บเป็นยี่หลงจู๊อีกในสมัยจิ๋วหวานจัง
 
          และในปีที่ประกาศลอยตัวค่าเงินสลึง ซึ่งมีผลทำให้เงินในมือของเราๆ ท่านๆ ทั้งหลายลดค่าเกือบเท่าตัวเมื่อเทียบกับสกุลลุงแซมโซรอส ทำให้บริษัทต่างๆ เจ๊งกันระนาวหรือไม่ก็เป็นหนี้หัวโต ใช้ไม่หมดมาจนบัดนี้ แต่เดชะบุญที่นายแม้วบำเพ็ญบารมีมาเกินทศชาติ  Sin Cock ของเขาไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใดเพราะมีการซื้อประกันความเสี่ยงในอัตราแลกเปลี่ยนล่วงหน้า

          ทั้งนี้ยายเมี้ยน ยายแม้น เฒ่าโพล้งวิจารณ์กันลั่นร้านกาแฟว่า ไอ้แม้วมันมีอินไซด์ นอกจากไม่เจ็บตัวแล้วยังรวยขึ้นอีกพะเรอเกวียน”  แต่นายแม้วปฏิเสธลั่นและอ้างมันเป็นซิกส์เซ้นส์เดจาวู แต่หลังจากนั้นไม่นาน นายแม้วก็ใช้ทุนส่วนตัวมาตั้งแก๊ง ทรท. (ไทระทวย) และสถาปนาตัวเองเป็นปังจู๊หัวหน้าแก๊งในที่สุด และชนะการเป่ายิ้งฉุบได้เป็นหลงจู๊ใหญ่สมความปรารถนา

          พอเริ่มได้เป็นหลงจู๊ใหญ่ นายแม้วก็ได้สำแดงพลังฝีมือ “มีเงินใช้ผีโม่แป้ง” ทันที เพราะคนดีๆ เขาเห็นกันว่าการเอาขุมทรัพย์ไปซุกในจักแร้คนอื่นนั้นมันขัดกับขื่อแปของบ้านเมือง  จึงส่งให้ศาลที่ไม่ใช่ศาลไคฟง และไม่ใช่เปาบุ้นจิ้นพิจารณา และมีมติพิพากษา ด้วยคะแนนเสียง 800 ต่อ 700 ให้นายแม้วพ้นผิดแบบ "บกพร่องโดยหน้าซื่อตาใส"  แถมยังมีบางท่านเห็นว่านายแม้วนั้นไม่ถือว่าเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางหลงจู๊ด้วย,
          “ขากถุย!!! แมร่งโดนตุ๋ยไปหลายอัฐละสิท่า”เฒ่าโพล้งขากพลางสบถดังลั่นทันทีที่ฟังประกาศทางวิทยุ

          ความเลวยังไม่ทันพ้นเหว ความเลวกว่าก็เข้าแถวมาเป็นพรวน หลงจู๊แม้วถูกกล่าวหาเกี่ยวกับการใช้กำลังภายในจากจุดคีมึ้ง ทำทุกอย่างให้กงสีของครอบครัวเซ็งลี้ฮ้อ ส่วนคู่แข่งก็เดี้ยงไปเองโดยไม่ทราบสาเหตุ เข้าใจว่าถูกธาตุไฟเข้าแทรก โดยเฉพาะอะไรที่เกี่ยวข้องกับสัมภทานจากรัฐ เป็นอันเสร็จหลงจู๊และเหล่ายอดฝีมือในสำนัก ทรท.ทั้งสิ้น

          จริงๆ แล้วหลงจู๊แม้วเป็นคนเก่ง มีกึ๋นมีเซี่ยงจี๊ ตามที่มีแววมาแต่เด็กๆ เพียงแต่ความเก่งกับความดีเป็นคนละเรื่องกันเขาจึงคิดค้นกับดักต่างๆ ขึ้นมาเหมือนนายพรานดักแร้วเพื่อจับสัตว์ เพียงแต่เหยื่อของเขาไม่ใช่สัตว์ แต่เป็นชาวบ้านตาดำๆ ที่เคยเจียดเงินส่งเขาเรียนจนจบด็อกเตอร์มานั่นเอง
 
           (เวรกรรมคงมีจริงความหัวดีของเขาไม่ได้ถ่ายทอดมาทางลูกเลย มีลูกชายก็ทึ่มขนาดว่าเอาโพยเข้าห้องสอบก็ดันโง่ให้กรรมการคุมสอบจับได้ ทีนี้พอมาถึงลูกสาวสอบบ้างจะใช้วิธีเดิมก็กลัวกรรมการลำบากใจ เลยใช้วิธีขอข้อสอบมาให้ลูกอ่านเล่นก่อนสอบดื้อๆ ซะนี่ ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้หลงจู๊แม้วคิดว่าเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องดีเรื่องงามตัวเองทำแล้วไม่ผิด)
 
          กับดักของหลงจู๊ ทำให้ชาวบ้านไหลหลง ฟุ้งเฟ้อ ฟุ่มเฟือย ขาดความรับผิดชอบ ชอบของฟรี รอของถูก เพราะเป็นหนี้ก็ไม่ต้องใช้ เจ็บไข้ก็มีบัตรทอง จะซื้อบ้านก็มีคนมาอาทร จะขายของก็มี Oh!top จะเสี่ยงโชคก็มีหวยบนดินขายทั่วบ้านทั่วเมือง นี่ถ้าไม่มีใครมาขวางหน้าเรื่องเปิดบ่อนกาสิโน หลงจู๊แม้วคงเดินหน้าแน่นอน กับดักทั้งหมดนี้ในปัจจุบันไปไม่รอด เพราะมีแต่เรื่องที่รัฐต้องหาเงินมาทั้งนั้น ไหนจะเงินมาทำโครงการ ไหนจะเงินค่าเก๋าเจี๊ยะ ที่เหล่ายอดฝีมือตั้งไว้ก่อนฝ่าด่านอีก แต่ชาติล่มจมก็เป็นเรื่องของชาติ ส่วนหลงจู๊แม้วนั้นชาวบ้านรักเป็นนักหนา ร้องเรียกเหมียวๆ เดี๋ยวก็มา เคล้าแข้งเคล้าขาน่าเอ็นดู

          หลงจู๊แม้วนั้นเป็นคนชอบเสนอเงื่อนไขเงื่อนเวลา ประเภททำเอง ตั้งเอง แก้เอง ประกาศเอง เช่น ปราบปรามผู้ค้ายาเสพติด ก็หน้าด้านประกาศว่าผู้ค้ายาสูญพันธุ์ไปจากบ้านเมืองแล้ว ท่ามกลางเสียงหัวร่อกระหึ่มเมืองของคนค้ายา แถมมีการพูดถึงการฆ่าตัดตอนไม่ให้สาวไปถึงผู้ค้ารายใหญ่ตัวจริงด้วย ข่าวว่าเจอศาลเตี้ย ตายไปหลายพันคน

          แต่บุญกุศลที่หลงจู๊แม้วทำไว้ที่คนเสียภาษีอย่างเราไม่ลืมก็คือ การลดภาษีค่าสัมภทานให้กับกงสีในเครือ Sin Cock ลดค่าสัมภทานค่าเช่าคลื่นความถี่ให้กับบริษัท กูทีวี (มหาชน) จำกัด นี่ยังไม่ต้องพูดถึงที่พาพรรคพวกเข้ามากินบุพเฟ่ต์แห่งชาติกันปากมัน รวมถึงดันญาติโกโหติกามาเป็นใหญ่เป็นโต แบบคนที่เขาสมควรจะได้ต้องนั่งทำตาปริบๆ
ลองมาดูลมที่ผายออกมาของหลงจู๊แม้วในวาระแรกกัน

          "เคี้ยก เคี้ยก มีการพูดกันว่า ถ้าให้อั๊วเป็นหลงจู๊ก็อยู่ไม่พ้นเทศกาลชุนเทียน ฝันไปเถอะ ชาติหน้าตอนบ่ายๆ เพราะอั๊วเข้ามาทำงาน ไม่ได้เข้ามาโกง ไม่ได้เข้ามากิน จะลาออกไปทำไม และก็ไม่ยอมให้ใครโกงด้วย อั๊วเข้ามาแก้ไขปัญหา จึงหวังว่าการเป่ายิ้งฉุบครั้งนี้ พวกลื้อจะช่วยเลือกแก๊งไทระทวยของอั๊ว พอกันทีที่จะให้คนไปเลือกพวกคนเมืองเพื่อไปยกมือเลือกคนแดนใต้เป็นหลงจู๊”
 
          "พวกลื้ออย่ามาห่วง ไอ้พวกดูเอ็นไม่ใช่เตี่ยอั๊ว”

หลายชีวิต ๒๕๕๐ - ภาคที่ ๑ ฯพณฯ แม้ว มั่งคั่ง (ลักสิน กินชะมัด)

เขียนครั้งแรก www.oknation.net/blog/konto
วันจันทร์ ที่ 22 ตุลาคม 2550
หลายชีวิต ๒๕๕๐ - ภาคที่ ๑ ฯพณฯ แม้ว มั่งคั่ง (ลักสิน กินชะมัด)
Posted by คนโทใส่น้ำ , ผู้อ่าน : 311


 
          แหล่งข่าวจากศูนย์บังคับการบินเปิดเผยว่า เสียงในเทปที่ได้จากกล่องดำนั้น ช่วงท้ายของเทปมีเสียงของนายแม้ว มั่งคั่งตะโกนลั่นว่า “ศูนย์บังคับฯ ไม่ใช่พ่อ ไม่ต้องไปฟังมัน” หลังจากศูนย์แจ้งให้นักบินทราบว่าไม่ควรนำเครื่องบินลงเพราะทัศนวิสัยไม่ดี และเสียงสุดท้ายที่ได้ยินก่อนจะเป็นเสียงระเบิดของเครื่องบินคือ “โธ่ ไอ้นักบินกระจอก” ซึ่งแหล่งข่าวกล่าวตบท้ายว่า “สงสัยนายแม้ว จะเข้าไปสั่งการเองถึงในห้องนักบิน” เพราะศพของนายแม้ว ก็เก็บมาจากห้องนักบิน

          นายแม้ว มั่งคั่ง ชื่อนี้ทุกคนรู้จักดี เพราะเขาคือ นายกรัฐมนตรีคนที่ ๕๐๐ แห่งประเทศนี้ จริงๆ แล้ว “แม้ว” เป็นฉายาที่เพื่อนร่วมเรียนอนุบาลเหลี่ยมจ๋าตั้งให้ ส่วน “มั่งคั่ง” นั้น เป็นฐานันดรที่เรียกขานกันตามฐานานุรูป ก็เหมือน “เศรษฐีฮิ่ม” ที่ชาวบ้านมักจะเรียกตามฐานานุรูปว่า “นายฮิ่ม ผู้มีทรัพย์” เพราะเรียกเศรษฐีฮิ่ม แล้วจั๊กจี้ชอบกล

          ชื่อตามทะเบียนบ้านของนายแม้วคือ “ลักสิน กินชะมัด” แต่เขาเองเห็นว่าชื่อนามสกุลจริงมันบอกตัวตนของตัวเองตรงไปหน่อย เขาจึงพอใจให้ทุกคนเรียกตัวเองว่า “นายแม้ว” ยกเว้นนักวิชาการเสื้อกั๊ก “ขาประจำ” ที่นายแม้วไม่พอใจให้เรียกเพราะไปเรียกเขาว่า “แม้ว จ๊กมก”

          เด็กชายแม้วนั้นเป็นเด็กเรียนเก่ง ฉลาดเป็นกรด มีหัวค้าขายมาตั้งแต่เด็ก จนเป็นที่กล่าวขานกันทั้งย่านบ้านเกิด ขนาดที่ว่าตอนจบชั้นอนุบาล ครูใหญ่เจ้าของโรงเรียนถอนหายใจเฮือกด้วยว่ากลัวเด็กชายแม้วจะไปทำสัญญาขายกระดานดำ โต๊ะ เก้าอี้ ให้กับโรงเรียนอื่น

          ด้วยความเป็นคนหัวดี ไม่มีปัญหาเรื่องการศึกษาเด็กชายแม้วก็ได้ศึกษาจนจบหลักสูตรโรงเรียนโปลิศจับขโมย และได้รับทุนการศึกษาที่มาจากเงินภาษีของชาวบ้านตาดำๆ ที่ต่อมาเขาเรียกว่าเป็นพวก “รากหญ้า” ลงเรือสำเภาไปเรียนต่อถึงเมืองลุงแซม จบปริญญาโทสาขาขบวนการตราชูตราชั่ง ที่มหาวิทยาลัยเคนตั๊กกี้ ฟรายด์ชิกเก้น ซึ่งที่นี่เองเขาได้พบกับคู่ชีวิต คือคุณพจมารสังวาลเพชร ที่เคยจีบกันมาตั้งแต่เมืองไทยแล้ว ทำให้เขามีกำลังใจเรียนจนจบมาเป็นด็อกเตอร์ที่มหาวิทยาลัยแซมซั่นสิงห์อิสาน

          เรียนจบมาแล้ว นายแม้วก็มาเป็นหมาต๋า และทำธุรกิจควบคู่กันไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นขายผ้าผวย ฉายหนังเร่ ทำคอนดอม แต่ทุกอย่างล้มเหลวสิ้นท่า หมดลายเด็กที่มีหัวการค้า ทำให้เป็นปมในใจว่า “ถ้าคนเก่งอย่างกูค้าขายแล้วยังมีหนี้สินล้นพ้นตัว ต่อไปนี้กูจะไม่แข่งกับใครแล้ว” เขาจึงลาออกจากราชการ

          หามิได้!!! เขาไม่ได้ตั้งหน้าตั้งตาทำการค้าแข่งกับคนอื่นๆ แต่เขาทำธุรกิจแบบ “กินรวบ” คือมุ่งหน้าทำแต่ธุรกิจที่ผูกขาดแบบกิน “สัมภทาน”* ซึ่งทำให้เขาสามารถปลดหนี้ปลดสินได้และเริ่มต้นอาณาจักร Sin Cock  ของเขาจนลือลั่นไปทั่วไตรภูมิ

*คำเต็มคือ "สัมภเวสีรับประทาน"

หลายชีวิต ๒๕๕๐ - (บทนำ) ฟ้าลิขิตหรือกรรมบันดาล

เขียนครั้งแรก www.oknation.net/blog/konto
วันจันทร์ ที่ 15 ตุลาคม 2550
หลายชีวิต ๒๕๕๐ - (บทนำ) ฟ้าลิขิตหรือกรรมบันดาล
Posted by คนโทใส่น้ำ , ผู้อ่าน : 299

 
          สายฝนโหมกระหน่ำเหนือฟ้ามหานครฝั่งตะวันออกในยามดึก สายฟ้าแลบแปลบปลาบ เสียงฟ้าร้องครืนครั่นเหนือพื้นที่หนองงูแมวเซาในอดีต ผู้คนในอาคารสนามบินต่างรู้สึกใจสั่นกับเสียงคะนองของฟากฟ้าที่ดุดันเกินปกติ
 
          กัปตันผู้กำลังเคร่งเครียดกับสายฟ้าและพายุ  วิทยุติดต่อกับศูนย์ควบคุมการบินและตัดสินใจว่าจะนำเครื่องลงให้ได้ เพราะนี่เป็นเที่ยวบินเกียรติยศของเขา ผู้โดยสารทุกคนในเที่ยวบินนี้เป็นผู้มีชื่อเสียงทั้งสิ้น เขาจะพยายามสุดฝีมือสำหรับเสียงปรบมือของผู้โดยสารเมื่อเครื่องบินนิ่งสนิทในลานจอด
 
          เครื่องบินเริ่มลดระดับลง ระบบลงจอดอัตโนมัติเริ่มทำงาน ฐานล้อเครื่องบินเริ่มกาง ทุกอย่างเป็นไปด้วยดีไม่มีอะไรผิดพลาด จนเข้ามาถึงรันเวย์ ล้อเริ่มแตะพื้น
 
          เสียงผู้โดยสารในเครื่องหวีดร้อง เมื่อเครื่องกระแทกพื้นอย่างรุนแรงเหมือนเครื่องบรรทุกมาด้วยกรรมอันใดที่หนาหนัก  เครื่องกระดอนขึ้นแล้วเอียงวูบ เสียงข้าวของหล่นจากชั้น เสียงคนร้องกันระงม บ้างสบถสาบาน บ้างสวดมนต์ บ้างบนบานสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พร้อมกับมีเสียงระเบิดที่ตอนหน้าของเครื่องบินฉับพลันทันทีกับควันที่ทะลักออกมาเต็มเครื่อง
 
          บรรดาผู้คนที่อยู่ในสนามบิน ต่างได้ยินเสียงดังสนั่น ภาพที่ทุกคนเห็นคือเครื่องบินลงมากระแทกรันเวย์จนล้อหักกระจาย ตัวเครื่องไถลออกนอกรันเวย์แล้วหัวทิ่มกระแทกพื้นจนขาดสองท่อนพร้อมกับเสียงระเบิดและมีไฟลุกท่วมลำ สักครู่เสียงไซเรนก็ดังระงมสนามบิน
 
          ฝนหยุดเม็ดแล้วในยามเช้าที่ฟ้าใสสว่างจ้าอย่างที่ไม่เคยมีใครเห็นมาก่อนในรอบหลายๆ ปี เจ้าหน้าที่กู้ภัยค่อยๆ ลำเลียงร่างไร้วิญญาณออกมาจากซากเครื่องบินที่พังยับเยิน ไม่มีผู้รอดชีวิตเลยแม้แต่กัปตันและลูกเรือ เครื่องบินนี้เป็นเครื่องเช่าเหมาลำพิเศษ บินมาจากกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ผู้โดยสารระดับอภิมหาเศรษฐี นักการเมือง ผู้มีชื่อเสียงและผู้ร่วมเที่ยวบินคนอื่น ถูกนำมาวางเรียงกันในห่อผ้าขาว
 
          ถึงที่สุดแล้ว ทุกคนก็มาถึงซึ่งความจริงของชีวิต ไม่ว่ายากดีมีจนอย่างไรก็หนีไม่พ้นความตาย เป็นมหาเศรษฐี ร่ำรวยล้นฟ้า มีทรัพย์สินมากเท่าใด สุดท้ายก็ต้องการที่นอนยาววากว้างศอกเท่านั้น
 
          สายลมที่พัดพลิ้วด้วยว่าอยู่ในที่โล่งกว้าง พัดให้ผ้าขาวเปิดเห็นบางใบหน้าของศพที่มีดวงหน้าตระหนกสุดขีดดังเห็นยมบาลมาทวงกรรมที่ได้ก่อต่อหน้าต่อตา
 
          แต่เป็นกรรมอันใดเล่า ที่บันดาลให้คนที่เกิดต่างเวลา ต่างภูมิลำเนากัน มาจบชีวิตในเวลาเดียวกัน ในที่เดียวกัน มาประสบเคราะห์กรรมพร้อมๆ กัน *ซึ่งนับว่าเป็นเคราะห์อันหนัก แต่ละชีวิตจะเคยประกอบกรรมอันร้ายแรงมาเหมือนกันหมดทีเดียวหรือ? ดูไม่น่าจะเป็นไปได้ ทางที่ดีเราควรจะศึกษาชีวิตเหล่านี้ทีละชีวิต บางทีจะรู้ได้ว่ากรรมอันใดบันดาลให้เป็นไปเช่นนั้น บางทีเราอาจรู้ว่าความตายที่มาถึงคนเหล่านั้นพร้อมกันนั้น สำหรับบางคนอาจเป็นผลสนองตอบแทนความชั่วบางอย่าง บางคนอาจเป็นผลสนองความตั้งใจและความปรารถนา และบางคนอาจเป็นเพียงทางออกหรือมิฉะนั้นอาจะเป็นแค่เพียงจุดจบในประโยคชีวิตที่ยืนยาว แต่ละชีวิตที่จะบรรยายต่อไปนั้น เป็นคำตอบอันกระท่อนกระแท่นที่มนุษย์ธรรมดาสามัญ ผู้มิใช่พรหมจะให้แก่กันได้เท่านั้นเอง*
 
หมายเหตุ๑. ในเครื่องหมายดอกจัน เป็นสำนวน ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช จากเรื่อง “หลายชีวิต”

มิยูกิที่รัก ตอนที่ 6 จดหมายฉบับแรกจากมิยูกิ (จบ)


ผมนั่งอยู่ที่หน้าต่างกระจกใสบานนั้น นั่งเฝ้าดูเครื่องบินลำที่มีมิยูกิอยู่ข้างใน ใจคอไม่อยู่กับเนื้อกับตัว คิดถึงหน้าเธอตลอดเวลา คิดถึงทุกโมงยามที่อยู่ด้วยกัน น้ำตาพานไหลออกมาจนต้องเอามือปาดอยู่ตลอดเวลา
 
เครื่องบินลำนั้นเริ่มเคลื่อนออกไปแล้ว...ขึ้นไปแล้ว...ใจผมหวิววาบเหมือนถูกบีบ..บีบ จนรู้สึกเจ็บอยู่ข้างใน ...นี่ผมจะมีชีวิตอยู่โดยไม่มีเธอได้หรือ… ผมยังนั่งมองฟ้าตรงตำแหน่งเครื่องบินลับตาไปอีกเป็นชั่วโมง
 
กลับถึงบ้านผมลงมือเขียนจดหมายถึงเธอทันที โดยไม่รู้ว่าเขียนอะไรไปบ้าง เหมือนกับใจสั่งมาให้เขียนโดยไม่ต้องคิด ปิดซองติดแสตมป์แล้วตั้งใจว่าพรุ่งนี้เช้าจะเอาไปส่งพร้อมกับเอกสารที่สำนักงาน
 
เกือบตีสามแล้วตอนที่ผมเข้านอน แต่นอนไม่หลับ ใจกระวนกระวายอย่างไรชอบกล สุดท้ายลุกขึ้นหยิบซองจดหมายที่เขียนไว้แล้วเดินไปหย่อนตู้ไปรษณีย์หน้าปากซอย ราวกับว่าไปรษณีย์จะมาไขตู้เสียเดี๋ยวนั้นเลย
 
ผ่านไปเจ็ดวัน ผมก็เขียนจดหมายไปอีก ผ่านไปอีกเจ็ดวันผมก็เขียนจดหมายไปอีก
 
หนึ่งเดือนแล้วนับแต่จากกัน ยังไม่มีวี่แววจดหมายตอบกลับ ผมถามหาจดหมายจากแม่บ้านที่สำนักงานทุกครั้งที่เจอหน้าจนเธอไม่ค่อยมาให้ผมเห็นหน้าดังเคย ผมยังเขียนจดหมายทุกๆ 3 วันบ้าง 7 วันบ้าง แต่ไม่มีจดหมายตอบกลับมาเลย
 
ตลอดเวลาผมเช็คข่าวต่างประเทศจากทีวี จากหนังสือพิมพ์ นิตยสาร แต่ไม่มีเหตุการณ์ร้ายแรงอะไรเกิดขึ้น หรือเธอไม่สบาย? หรือเธอประสบอุบัติเหตุแต่ไม่เป็นข่าว? สารพัดที่ผมจะคิด แต่ทุกอย่างเงียบเหมือนสายลม เธอไปแล้วไปลับ
 
เข้าเดือนที่สองเพื่อนๆ ที่สำนักงานเห็นอาการของผมที่เหมือนหมาบ้าถูกขัง ทำงานทั้งวันไม่พูดไม่คุยกับใคร ก็ชวนผมไปนั่งฟังเพลงบ้าง ดื่มเหล้าบ้าง ก็ไม่ได้ทำให้ผมดีขึ้นเลย กลับกลายเป็นว่าทุกครั้งที่ดื่มเหล้าผมก็จะดื่มไม่ยั้ง ดื่มจนไม่ได้สติ เพื่อนๆ ต้องพามาส่งบ้านทุกครั้ง ผมเป็นอย่างนี้อยู่นานหลายเดือน เพื่อนๆ ชักจะไม่มาชวน ผมก็เป็นฝ่ายชวนเสียเอง แต่เพื่อนๆ ก็จะติดธุระกันตลอด ผมก็ไปดื่มคนเดียว
 
แต่ผมยังเขียนจดหมายทุกๆ สัปดาห์...และยังไม่มีจดหมายตอบกลับมาเลย
 
เช้ามืดวันเสาร์หลังจากผ่านไปปีกว่าๆ ผมโซเซเดินสวนกับพระที่มาบิณฑบาต เปิดประตูบ้านเข้าไป เห็นพ่อนั่งอยู่ที่ชุดรับแขก ผมก็เดินเข้าไปทักพ่อ

“ตื่นแต่เช้าเชียวนะพ่อ”

“พ่อยังไม่ได้นอนเลยลูก พ่อรอลูกอยู่น่ะ พ่อมีเรื่องสำคัญจะคุยกับลูกน่ะ นั่งลงสิ”

ผมนั่งลงตรงข้ามกับพ่อ ผมเพิ่งเห็นว่าพ่อมีน้ำตาอาบสองแก้มด้วย ผมตกใจมาก

“พ่อเป็นอะไรหรือเปล่าครับ”

“พ่อไม่เป็นไรหรอก แต่พ่ออยากรู้ว่าลูกน่ะเป็นอะไร พ่อเป็นห่วงลูกมากนะ รู้มั้ย”

“ผมไม่เป็นไรหรอกพ่อ”

“ไม่เป็นอะไร แล้วทำไมถึงทำตัวอย่างนี้ พ่อรู้นะว่าเป็นเพราะผู้หญิงญี่ปุ่นคนนั้น เอ่อ..ที่ชื่ออะไรนะ มิยูกิใช่มั้ย”

ผมก้มหน้าไม่พูดอะไร พ่อก็เลยพูดต่อ
“ลูกรักเขามากใช่มั้ย ลูกมีที่อยู่เขานี่ ลูกจะไปหาเขามั้ย ลูกจะเอาเงินเท่าไหร่ พ่อจะให้ ไปหาเขาให้เจอ ไปพาเขากลับมาอยู่ด้วยกัน”

“ไม่หรอกครับ ผมไม่กล้าไป”

“ทำไมล่ะ”

“ผมกลัวว่าจะไปพบว่าเธอไม่รักผมแล้ว หรือแต่งงานแล้ว หรือไม่ก้อเธอ..ตายไปแล้ว”

“ลูกอย่าใช้การคิดไปเองมาทำให้กลัวขนาดนั้น ถ้าลูกไม่กล้า ลูกก็ควรจะเปลี่ยนแปลง”

“เปลี่ยนยังไงล่ะพ่อ”

“ลูกต้องอยู่เหมือนกับว่ามีเธออยู่ข้างๆ ใช้ชีวิตมีความสุข ไม่สำมะเลเทเมาอย่างงี้ ไม่มีผู้หญิงคนไหนจะรักผู้ชายอ่อนแอหรอกนะลูก”
ผมนั่งก้มหน้านิ่ง

“ทุกครั้งที่ลูกเมากลับมา พ่อเห็นแล้วต้องร้องไห้ทุกที พ่อสงสารลูก แต่สงสารมันไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นมาได้หรอกนะ พ่อสั่งห้ามไม่ให้เพื่อนๆ ที่ออฟฟิศชวนลูกไปกินเหล้าเด็ดขาด พ่อให้คนตามไปเฝ้าลูกทุกครั้งที่ลูกไปกินเหล้า ตอนนี้ลูกทำให้หลายๆ คนเดือดร้อนไปกับลูกแล้วล่ะ นี่จะช่วยให้ลูกคิดอะไรได้บ้างหรือยัง”

ผมนิ่งไปอีกนาน ก่อนจะบอกพ่อ “พ่อ ผมอยากบวช”

“อย่าเลยลูก ถ้าใจของลูกยังเป็นแบบนี้ บวชไปก็เสียผ้าเหลือง ถ้าลูกไม่เห็นแก่พ่อ ก็เห็นแก่แม่เถอะ เลิกดื่มเหล้านะลูก สัญญากับพ่อได้มั้ย ”

ผมเห็นหน้ามิยูกิลอยมา ผมเห็นหน้าแม่ของผมลอยมา ก่อนจะอ้อมแอ้มตอบพ่อ

“ครับ ผมสัญญา”
 
:: :: :: :: ::
 
ผมกลับมาเป็นคนเดิมได้หลายเดือนแล้ว เพียงแต่ผมพูดน้อยลง ทำงานมากขึ้น และผมยังเขียนจดหมายอยู่เหมือนเดิม
 
จนกระทั่งวันนี้มีซองพัสดุส่งมาถึงผม ซองสีน้ำตาลใหญ่ เขียนด้วยลายมือภาษาอังกฤษ ติดแสตมป์รูปดอกซากุระ ผมฝากงานที่คั่งค้างกับเพื่อนแล้วออกจากสำนักงานพร้อมด้วยซองนั้นทันที
 
...ที่สวนลุมพินี ใต้ร่มไม้ริมน้ำที่ผมเคยนั่งอยู่กับมิยูกิ…
 
ผมแกะซองสีน้ำตาล มีรูปขาวดำปึกใหญ่ เป็นรูปที่ผมถ่ายคู่กับมิยูกิบ้าง รูปเดี่ยวของมิยูกิบ้าง รูปเดี่ยวของผมบ้าง รูปสุดท้ายเป็นรูปขาวดำ ไม่ใช่รูปของผมหรือมิยูกิ แต่เป็นรูปของเด็กหญิงหน้าตาน่ารัก น่าเอ็นดู..และยังมีซองจดหมายลายดอกซากุระอีกซองหนึ่ง
 
...เธอไม่รักผมแล้ว เธอลืมผมแล้ว เธอแต่งงานกับชายคนอื่นแล้ว..แล้วเธอยังจะขยี้หัวใจผมให้แหลกเหลว ด้วยการส่งรูปลูกสาวเธอมาให้ผมดู เธอยังจะเขียนจดหมายมาเยาะเย้ยผม….
 
ผมสองจิตสองใจจะเปิดจดหมายดู หรือจะฉีกทิ้งเสียเดี๋ยวนี้
แล้วผมก็เปิดจดหมายด้วยมือที่สั่นอย่างควบคุมไม่ได้
:: :: :: :: ::
 
:: :: ::จบบริบูรณ์ :: :: ::

เขียนครั้งแรก www.oknation.net/blog/konto
วันศุกร์ ที่ 10 ตุลาคม 2551
มิยูกิที่รัก (6) จดหมายฉบับแรกจากมิยูกิ..จบบริบูรณ์
Posted by คนโทใส่น้ำ , ผู้อ่าน : 2693

มิยูกิที่รัก ตอนที่ 5 จดหมายฉบับสุดท้ายของมิยูกิ


รุ่งขึ้น เราไม่ได้ออกไปไหนเลย เราใช้ชีวิตกันเหมือนคู่ฮันนี่มูนที่เพิ่งแต่งงานกัน มีแต่ความหวานชื่นเรานั่งคุยนอนคุยกันถึงชีวิตของกันและกันอย่างไม่รู้เบื่อ

วันต่อมาเราไปวัดเบญจมบพิตร เสร็จแล้วไปถีบเรือในเขาดิน ตอนเย็นมานั่งเล่นที่สวนลุมพินี พอค่ำๆ เราก็กลับเข้าโรงแรม

อีกวันหนึ่งเราก็ขับรถไปบางแสน นั่งกินอาหารกันริมทะเล ผมยุให้เธอใส่ชุดว่ายน้ำลงเล่นน้ำทะเล แต่เธอบอกว่าเธอชอบดูทะเลมากกว่าเล่นน้ำทะเล เรากลับมาถึงโรงแรมตอนค่ำๆ

เราเหมือนคู่รักคู่หนึ่งซึ่งคบกันมานานเป็นปีๆ ทั้งที่เราเพิ่งพบกันแค่หกวัน ตอนสายวันที่เจ็ดเราไปหาซื้อของที่ประตูน้ำและห้างไทยไดมารู ราชดำริ แล้วก็กลับมาโรงแรมตอนบ่าย นัวเนียคลอเคลียกันตั้งแต่บ่ายจนถึงเช้าวันสุดท้ายที่มิยูกิจะอยู่ที่เมืองไทย

ตอนที่เราอาบน้ำให้กันและกันนั้น มิยูกิร้องไห้ออกมาเฉยๆ และกอดผมไว้ ไม่มีเสียงพูดใดจากเราสองคน สรรพเสียงทั้งโลกล้วนเงียบสงัด มีเพียงเสียงหัวใจของเราที่ร่ำร้องบอกต่อกัน ...ฉันรักเธอ ฉันรักเธอ...

ผมไปส่งมิยูกิที่ดอนเมืองตอนสี่ทุ่ม เรากอดและหอมแก้มกันอย่างไม่ต้องอายใคร น้ำตาของผมคลอเบ้า ในขณะที่มิยูกิร้องไห้น้ำตาเป็นทางสองข้างแก้ม ผมเพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าผมรักเธอมากกว่าที่ตัวเองรู้ หัวใจของผมหวิวๆ กลัวว่าจะไม่ได้พบกับเธออีก เราพูดลากันสองสามคำแล้วเธอก็เดินผ่าน ตม. เข้าไป ก่อนหันมาโบกมือลาให้ผมอย่างอาลัยอาวรณ์

ถ้าผมรู้ว่าการจากลาครั้งนั้นทุกข์ทรมานใจขนาดนี้ ผมจะไม่ยอมให้เธอพรากจากผมเลย

:: :: :: :: ::

ผมปาดน้ำตาและกลั้นก้อนสะอื้นในใจ ลายมือที่คุ้นตาเขียนอยู่บนกระดาษข้างหน้านี่เอง
  
ผมได้แต่ซบหน้าลงกับลายมือของเธอ....

:: :: :: :: ::



เขียนครั้งแรก www.oknation.net/blog/konto
วันศุกร์ ที่ 10 ตุลาคม 2551
มิยูกิที่รัก (5) จดหมายฉบับสุดท้ายของมิยูกิ
Posted by คนโทใส่น้ำ , ผู้อ่าน : 4019
 

มิยูกิที่รัก ตอนที่ 4


“ตื่นขึ้นมารับอาหารเช้าได้แล้วค่ะเจ้านาย” เสียงมิยูกิกระซิบที่ข้างหู แถมด้วยหอมอีกฟ่อดใหญ่ที่แก้มของผม ความเย็นของเนื้อตัวที่เปียกน้ำและพันไว้ด้วยผ้าเช็ดตัวทำให้ผมต้องลืมตาตื่น

ผมมองดวงหน้าน่ารักของเธอ ไม่มีแววตาตื่นอายกับปรากฎการณ์พระจันทร์เป็นใจที่แสนจะดูดดื่มของเมื่อคืนที่ผ่านมา ผมขยับปากจะพูดขอโทษแต่เหมือนเธอจะรู้ จึงชิงใช้นิ้วชี้มาทาบปิดริมฝีปากของผม ผมจึงโน้มตัวเธอมานอนเคียงข้าง แล้วกระซิบประโยคที่ผมไม่เคยพูดกับหญิงสาวคนไหน

“มิยูกิ ผมรักคุณ”

“ไทซังพูดแบบนี้มากับผู้หญิงกี่คนแล้วเนี่ย”

“ฟูจิยาม่าเป็นพยาน มิยูกิเป็นคนแรกและคนเดียว”

มิยูกิหัวร่อคิกกับคำสาบานของผม พลางซุกไซร้ต้นคอแล้วงับที่ติ่งหู “ลุกขึ้นได้แล้ว โชเฟอร์ขี้เซา”

หลังอาหารเช้า ผมพามิยูกิขึ้นแท็กซี่ไปที่บ้านของผม เพื่อไปเอารถ เมื่อเดินผ่านรั้วบ้านเข้าไปพบคุณพ่อของผมกำลังอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ที่ระเบียงบ้าน ผมแนะนำมิยูกิให้คุณพ่อรู้จัก เธอยกมือขึ้นไหว้แล้วพูดไทยสำเนียงของเธอ

“สวัสดีค่ะ”

“สวัสดีครับ กินอาหารเช้ากันมาหรือยัง” พ่อของผมพูดตอบด้วยภาษาอังกฤษ

“เรียบร้อยแล้วครับ เดี๋ยวผมขอเอารถออกเลยนะครับ สายแล้วเดี๋ยวแดดร้อน” ผมตอบแทนมิยูกิ

พ่อของผมพยักหน้าและบอกกับเราสองคนว่า “เที่ยวให้สนุกนะ”

ความจริงผมได้คุยกับพ่อในคืนแรกหลังจากส่งมิยูกิที่โรงแรมแล้วทั้งเรื่องขอยืมรถและจัดการเรื่องงานที่ยังค้างอยู่ที่สำนักงาน พ่อของผมบอกว่าไม่ต้องห่วง แถมยังกระเซ้าผมด้วยว่า “สงสัยจะได้แฟนกับเขาซะที”

ผมเล่าให้มิยูกิฟังระหว่างนั่งแท็กซี่มาแล้วว่า ผมอยู่กับพ่อสองคนที่บ้าน เพราะแม่เสียชีวิตไปตั้งแต่ผมเข้ามหาวิทยาลัย ทำให้ตลอดเวลาที่เรียนอยู่ผมไม่ค่อยได้สนิทสนมกับใครมากนัก เพราะต้องมาช่วยพ่อดูแลทั้งที่บ้านและที่ทำงาน พ่อเองก็ดูเหงาไปมากตั้งแต่แม่จากไป ผมจึงไม่ค่อยได้ออกไปเที่ยวเตร่กับใคร เมื่อผมออกปากว่าจะเที่ยวกับสาว พ่อจึงสนับสนุนเต็มที่

:: :: :: :: ::

ข้อเท้าของมิยูกิค่อยยังชั่วแล้ว เธอจึงเดินชมความอลังการในอดีตของอยุธยาได้สบายๆ แต่แขนของเธอก็ยังเกาะแขนผมไว้ตลอดเวลา ผมเอาขาตั้งกล้องไปด้วย เราจึงถ่ายรูปคู่กันกับโบราณสถานของอยุธยากันอย่างมากมาย แต่แปลกที่มิยูกิไม่ใช้ฟิล์มสี ไม่ใช้สไลด์ เธอใช้ฟิล์มขาวดำ “เพราะมันให้ความรู้สึกเร้นลับมากกว่า” เธอบอกผมอย่างนั้น

เรากลับมาถึงโรงแรมเกือบสองทุ่ม ด้วยความเหนื่อยล้าเลยตกลงกันว่าจะไม่ไปเดินเล่นแล้ว จึงสั่งอาหารโรงแรมมากินกันในห้อง หลังจากอาบน้ำและกินอาหารกันเรียบร้อย เรานั่งดื่มไวน์กันที่ระเบียงห้อง คืนนี้พระจันทร์ยังสวยเหมือนเมื่อคืน

“ไทซังคิดจะแต่งงานไหม” มิยูกิถามขึ้นมา

“ผมเพิ่งทำงานได้ปีเดียว กะว่าจะหาประสบการณ์ในการทำงานไปก่อน” ผมเสออกไปนิดหนึ่ง

“ไม่ได้ถามเรื่องงาน ถามว่าคิดจะแต่งงานไหม เมื่อไหร่ก็ได้ แต่เคยคิดไหม” ผมโดนค้อนญี่ปุ่นเข้าซะแล้ว

“ก่อนหน้านี้ยังไม่เคยเจอคนที่ถูกใจเลย เลยยังไม่คิด”

“แล้วตอนนี้คิดแล้วหรือยัง”

“ยัง กะว่าจะหา..” เผียะ สงสัยมิยูกิเห็นยุงตัวเบ้อเริ่มที่แขนผม

“พูดจริงๆ สิ” น้ำเสียงชักโมโหแล้วแฮะ

“ผมอยากจะแต่งงานกับผู้หญิงสักคนที่รักผม และผมก็รักเธอ ผมอยากจะมีลูกผู้ชายคนหนึ่ง ผู้หญิงคนหนึ่ง..พอใจหรือยังจ๊ะ”

“มิยูกิก็อยากแต่งงาน มีครอบครัว อยากแต่งวันนี้ พรุ่งนี้เลย” เธอพูดพลางเงยหน้ามองพระจันทร์

“ล้อเล่นแล้ว แต่งวันนี้ พรุ่งนี้เหรอ มิยูกิจะหาเจ้าบ่าวที่ไหนกัน”

“ก็แต่งกับไทซังไง” เธอจ้องหน้าผมตาไม่กระพริบเลย

“ล้อเล่นแล้ว ล้อเล่นแล้ว” ผมเสเอามือจับมือของเธอมาถูกับเคราแข็งๆ ของผม เธอหัวร่อคิกคักพลางหยิกแขนผม ผมก็ไม่ได้เอะใจเลยว่าทำไมเธอพูดอย่างนี้

“ไปเข้านอนกันดีกว่า” เธอชวนพลางฉุดผมลุกขึ้น

มิยูกิจูงมือผมมาที่เตียงของเธอ ล้มตัวลงนอนหงายรอรับร่างของผมที่ล้มตามไป แล้วหฤหรรษ์ของค่ำคืนก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง....

:: :: :: :: ::

เขียนครั้งแรก www.oknation.net/blog/konto
วันพุธ ที่ 8 ตุลาคม 2551
มิยูกิที่รัก (4)
Posted by คนโทใส่น้ำ , ผู้อ่าน : 3176

มิยูกิที่รัก ตอนที่ 3

แม่น้ำเจ้าพระยาในค่ำคืนนี้สวยงามมาก แสงจันทร์สะท้อนระลอกคลื่นที่พลิ้วไหว ทำให้ผมอดใจฮัมเพลงไม่ได้
มิยูกิเดินออกจากห้องน้ำในชุดเสื้อคลุม โดยมีผ้าเช็ดผมโพกไว้บนศีรษะ
ไทซังฮัมเพลงอะไรน่ะ เพราะจังเลย ร้องให้ฟังได้ไหม”
หลังจากอยู่กันมาสองวัน กับไวน์อีกขวดหนึ่งในคืนนี้ ความรู้สึกแปลกแตกต่างของเรา..หรือเฉพาะของผมนะ..เริ่มหายไป

ผมเริ่มร้องเพลง “ลุ่มเจ้าพระยา” ให้เธอฟัง

ลุ่มเจ้าพระยาเห็นสายธารา ไหลล่อง
เพียง แต่มองหัวใจให้ป่วน
น้ำไหลไป มักไม่ ไหลทวน
ชีวิตเรา ไม่มีหวน ไม่กลับทวนเหมือนกัน
เรา เกิดมา ผูกใจรัก กันดีกว่า
เพราะว่าชีวา แสน สั้น
เรา อย่าได้ สะเทือนหัวใจต่อกัน
ทิ้งชีวิตอัน สุขใจ
อย่าแตกกันเลยรักไว้ชมเชย ชิดมั่น
จง ผูกพันรักกันด้วยใจ
ขอจงเป็น เหมือนเช่น นกไพร
ที่เหิรบินคู่กันไป หัว ใจ คู่กัน
เรา เกิดมาผูกใจรัก กันดีกว่า
เพราะว่าชีวา แสน สั้น
เรา อย่าได้ สะเทือนหัวใจต่อกัน
ทิ้งชีวิตอัน สุขใจ
อย่าแตกกันเลยรักไว้ชมเชย ชิดมั่น
จง ผูกพัน รักกันด้วยใจ
ขอจงเป็น เหมือนเช่นนกไพร
ที่เหิรบินคู่กันไป หัว ใจ คู่ กัน...

“เพราะจังเลยค่ะ” เธอเดินเข้ามาหอมแก้มผม หน้าผมคงแดงก่ำและตึงด้วยฤทธิ์ไวน์นะเนี่ย
“ไทซังรู้จักเพลงญี่ปุ่นบ้างไหมคะ”
"เคยดูหนังเรื่องเซเว่น ไนท์ อิน แจแปน จำได้ว่าเพลงที่ฮิเดมิ อาโอกิ นางเอกร้องในรถน่ะไพเราะมาก มิยูกิรู้จักมั้ย"
ตอนนี้นึกออกแค่นี้จริงๆ เพราะโรงแรมโอเรียนเต็ลคงกำลังหมุนอยู่แน่ๆ
"รู้จักสิ มิยูกิเคยดูเรื่องนี้ด้วยล่ะ" แล้วเธอก็ร้องและแปลเพลงนี้ให้ผมฟัง

Mori mo iyagaru Bon kara saki nya
ฉันไม่ชอบการดูแลเด็ก หลังจากเทศกาลผ่านไป
Yuki mo chiratsukushi Ko mo nakushi
หิมะก็โปรยปรายลงมา แล้วเด็กน้อยก็ร้องไห้
Bon ga kita to te Nani ureshikaro
ถึงแม้เทศกาลนั้นจะผ่านไปแล้ว แต่ทำไมฉันต้องดีใจด้วยล่ะ
Katabira wa nashi Obi wa nashi
เสื้อผ้าป่านก็ไม่มี สายรัดเอวก็ไม่มี
Kono ko you naku Mori wo baijiru
เด็กน้อยขี้ร้องไห้คนนี้
Mori mo ichinichi Yaseru yara
ดูแลเด็ก 1 วัน ก็ทำให้ผอมลง
Hayo mo ikita ya Kono sato koete
ฉันอยากจะกลับไปเร็วๆ กลับไปสู่บ้านเกิด
Mukou ni mieru wa Oya no uchi
ที่ๆ ฉันสามารถมองเห็นได้ตรงโน้น คือบ้านพ่อแม่ฉัน
Mukou ni mieru wa Oya no uchi
ที่ๆ ฉันสามารถมองเห็นได้ตรงโน้น คือบ้านพ่อแม่ฉัน*

ผมปรบมือให้ เพราะเธอร้องได้ไพเราะจริงๆ

มิยูกิแต่งตัวในชุดกางเกงกีฬาขาสั้นเสื้อกล้ามกีฬามีตรามหาวิทยาลัยของเธอ มานั่งจิบไวน์คุยกันที่ระเบียง ด้วยชุดที่เธอใส่ทำให้เห็นผิวเนียนขาวของเธอ ดวงจันทร์คืนนี้หมองไปเลย..และผมสังเกตเห็นว่าเธอไม่ได้ใส่เสื้อชั้นใน

เราวางแผนเรื่องเที่ยวอยุธยากันในวันพรุ่งนี้ โดยผมจะยืมรถคุณพ่อมาใช้ตลอดเวลาที่มิยูกิอยู่เมืองไทย หลังจากไวน์หมดไปอีกขวด ผมไปอาบน้ำเสร็จก็กู๊ดไนท์แยกย้ายกันไปนอนคนละเตียง

ผมนอนลืมตาโพลงในห้องที่มีเพียงแสงจันทร์ส่องแทรกเข้ามาทางระเบียง คิดย้อนไปถึงสองวันที่ผ่านมา คิดไกลไปอีกหลายวันที่จะมาถึง

นี่เป็นกรรมบันดาลหรือบุพเพสันนิวาส ที่ได้ส่งมิยูกิมาพบกับผม ผมปฏิเสธตัวเองไม่ได้เลยว่าหลงเสน่ห์สาวสวยแห่งแดนอาทิตย์อุทัยคนนี้เสียแล้ว

ผมมีเพื่อนผู้หญิงหลายคน ที่สนิทมากๆ ก็หลายคน แต่ไม่เคยมีความรู้สึกที่ยากจะบรรยายอย่างนี้ ผมรู้ว่า...มันเป็นรักแรกพบ และเป็นรักครั้งแรกของผมเสียด้วย เพราะผมก็อาจจะเหมือนกับผู้ชายวัยเดียวกันอีกเป็นล้านๆ คน ที่ยังรักการเที่ยวเตร่สังสรรค์กับเพื่อนๆ มากกว่ามาคอยเคลียคลอพะนอเอาใจหญิงสาวสักคน

เสียงสวบสาบจากเตียงของมิยูกิ ทำให้ผมต้องหันไปมอง ก็เห็นมิยูกิเดินมาที่เตียงของผม แล้วเธอก็แทรกตัวเข้ามาในผ้าห่ม เธอนอนตะแคงเอามือมากอดตัวของผมไว้
“มิยูกินอนไม่หลับ ขอนอนด้วยคนนะคะ”

:::  :::  :::

เขียนครั้งแรก www.oknation.net/blog/konto
วันจันทร์ ที่ 6 ตุลาคม 2551
มิยูกิที่รัก (3)
Posted by คนโทใส่น้ำ , ผู้อ่าน : 1834

มิยูกิที่รัก ตอนที่ 2

                   “อากาศดีจังเลยนะคะ” มิยูกิพูดขึ้นขณะที่เรือกลับลำแถวๆ ปากแม่น้ำเจ้าพระยา
                   “ผมก็เพิ่งเคยลงเรือมาถึงที่นี่แหละ อากาศดีจริงๆ ด้วย”
                     เราสองคนเริ่มคุ้นกับภาษาอังกฤษแปลกๆ
                     และการทำมือทำไม้ประกอบการพูด ใครมาเห็นคงจะนึกว่าคนใบ้สองคนคุยกัน
ระหว่างอาหารค่ำบนเรือนั้น มิยูกิเล่าให้ผมคลายความข้องใจว่าทำไมเธอถึงมาเที่ยวเมืองไทยคนเดียว ทำไมถึงได้มาพักโรงแรมชื่อดังระดับโลก และยังเล่าด้วยว่าก่อนที่เธอจะเดินเหม่อลงไปให้รถแท็กซี่เกือบชนนั้น เธอไปเที่ยววัดสุทัศน์ วัดพระแก้วและพิพิธภัณฑ์มา ซึ่งเป็นการเที่ยววันแรกในกรุงเทพฯ ตามโปรแกรมที่เธอตั้งใจไว้ เธอเพิ่งเดินทางมาถึงเมื่อคืนและเป็นการมาเมืองไทยเป็นครั้งแรก

ผมก็เล่าให้เธอฟังบ้างว่ากำลังจะกลับบ้าน..ทั้งๆ ที่จะไปสังสรรค์กับเพื่อน..พอเดินออกจากมหาวิทยาลัยจะไปขึ้นรถเมล์ที่หน้าโรงละครก็เห็นเหตุการณ์พอดี

มิยูกินั้นอายุน้อยกว่าผมปีเดียว เรียนจบอุดมศึกษาแล้ว และขออนุญาตครอบครัวซึ่งทำธุรกิจร้านอาหารมาเที่ยวเมืองไทย เพราะเคยอ่านหนังสือพบว่าเมืองไทยสวยงามน่าเที่ยวมาก จึงนัดกับเพื่อนไว้แต่บังเอิญเพื่อนมีธุระกะทันหัน ขอยกเลิก ด้วยความโกรธเพื่อนและทิฐิของเธอ ทำให้เธอตัดสินใจมาคนเดียว

“ธุรกิจที่บ้านเธอคงดีใช่ไหม เพราะโอเรียนเต็ลนี่ได้ยินว่าราคาไม่ถูกเลยนะ” ผมยังข้องใจ

“ร้านอาหารของคุณพ่อฉันมี 40 กว่าสาขาในโตเกียวและที่อื่นๆ อีก 2-3 เมือง” เธอเฉลยให้ผมหายข้องใจ

“ครอบครัวของไทซังล่ะเป็นอย่างไรบ้าง”

“พ่อผมมีสำนักงานทนายความเล็กๆ ผมก็เป็นลูกจ้างของพ่อนั่นแหละ”

“เหมือนฉันเลย เอ้าดื่มฉลองให้นายจ้างของเราหน่อย” เธอหัวร่อจนเห็นฟันขาวสวย แล้วยกแก้วไวน์ให้ชน

เมื่อตอนที่ผมมาส่งเธอที่ล็อบบี้โรงแรม มิยูกิก็เอ่ยปากถามผม
“ไทซังจะรังเกียจไหม ถ้ามิยูกิขอเชิญเป็นเพื่อนไปเที่ยวด้วยกันอีกตลอด 7 วันที่เหลือ”

ไม่รู้ว่าอะไรมาดลใจให้ผมตอบเธอไปทันที “ผมยินดีที่ได้เป็นเพื่อนเที่ยวกับมิยูกิครับ ถ้าหากว่าจะให้ผมช่วยจ่ายค่ารถค่าอาหารบ้าง”

“มิยูกิดีใจมากค่ะ แต่เรื่องค่าใช้จ่ายเป็นหน้าที่ของมิยูกิเองนะคะ” ผมก็ได้แต่แบมือและยักไหล่ด้วยท่าที่คิดว่าเท่ที่สุด

“งั้นคืนนี้ราตรีสวัสดิ์และฝันดีนะครับ”

“ค่ะ มิยูกิจะฝันถึงไทซัง กู๊ดไนท์” เธอล้อผมเล่นอีกแล้ว

:: :: :: :: ::

คืนวันที่สองเราไปกินอาหารญี่ปุ่นกันที่ถนนธนิยะ ตลอดเวลาเราสองคนผลัดกันเล่าเรื่องราวต่างๆ มีอยู่ตอนหนึ่งที่ผมเล่าเรื่อง “คู่กรรม” ให้เธอฟัง สีหน้าเธอเคลิบเคลิ้มกับเรื่องที่ผมเล่ามาก แต่สุดท้ายเธอก็บอกว่าผู้ชายญี่ปุ่นที่เธอรู้จักไม่เห็นเหมือน “โกโบริ” สักคน เธอบอกว่าจะเรียกผมว่า “โกโบริ” ผมบอกว่าไม่เอาหรอกไม่อยากเป็นพระเอก...แต่จริงๆ ผมอายต่างหาก เกิดเธอไปเรียกผมแบบนี้ต่อหน้าแม่ค้ากล้วยปิ้ง ผมจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน

 “คืนนี้ไทซังนอนกับฉันที่ห้องดีไหม เช้าๆ จะได้ไม่ต้องรีบตื่น” อยู่ๆ เธอก็พูดประโยคนี้ออกมา จนผมทำปลาดิบที่กำลังคีบอยู่หล่นบนโต๊ะ

“เอ่อ ไม่ดีหรอกมั้งเดี๋ยวโรงแรมจะว่าเอา” ผมรีบบอก

“นอนได้นะ จำไม่ได้เหรอว่าฉันจองห้องสองเตียงเอาไว้ แล้วฉันก็ไม่ได้ยกเลิกหรือเปลี่ยนห้องด้วย”

“เอ่อ ผมไม่มีเสื้อผ้ามาเปลี่ยน” ผมพูดแบบรู้สึกเริ่มโกหกตัวเอง

“โธ่ เดี๋ยวเราก็ซื้อที่ร้านแถวนี้ก็ได้ เมื่อกี้เดินผ่านเห็นขายเยอะแยะเลย”

“เอ่อ..”

“หรือว่าไทซังเบื่อมิยูกิแล้ว”

“ไม่ใช่ๆ แต่ว่า..” ผมจะบอกเธออย่างไรดีล่ะ ว่ามันไม่เหมาะไม่ควร

“งั้นเดี๋ยวออกไปซื้อเสื้อผ้ากันนะ นะ” เธอไปเป็นเซลส์ได้เลยนะเนี่ย

:: :: :: :: ::

เขียนครั้งแรกใน www.oknation.net/blog/konto
วันอาทิตย์ ที่ 5 ตุลาคม 2551
มิยูกิที่รัก (2)
Posted by คนโทใส่น้ำ , ผู้อ่าน : 1870

มิยูกิที่รัก ตอนที่ 1


 
วันนี้เลขาฯ ได้นำซองจดหมายมาวางบนโต๊ะทำงานของผมแยกจากจดหมายธุรกิจทั่วๆ ไปอีกครั้ง เป็นคำสั่งของผมเองว่า ถ้ามีซองจดหมายสีฟ้าลายดอกซากุระ เขียนด้วยลายมือเป็นภาษาอังกฤษ ติดสแตมป์รูปซากุระ ให้แยกออกมาต่างหาก เพราะจดหมายนี้จะส่งมาถึงผมเดือนพฤษภาคมปีละครั้งเท่านั้น และจดหมายนี้เป็นฉบับที่ 21

แต่เมื่อเห็นความหนาของซองจดหมายที่ต่างจากทุกๆ ปี ลางสังหรณ์บางอย่างก็เกิดขึ้น ผมรีบเปิดซองจดหมายออกดูทันที ปีนี้ต่างจากทุกปีที่ปกติจะมีกระดาษจดหมาย 1 แผ่นและรูปถ่ายขนาดโปสการ์ด 1 ใบ ตรงที่มีซองจดหมายลักษณะเดียวกันแต่ไม่ได้จ่าหน้าซองพับครึ่งแนบมาด้วย

ผมเปิดกระดาษจดหมายออกมาก่อน พบว่าเป็นลายมือภาษาอังกฤษที่ไม่คุ้นเคย ระบุวันที่เขียนจดหมายก่อนจะมาถึงมือผม 7 วัน เนื้อความในจดหมายอ่านได้ความว่า

“ไทซัง

ยูมิได้ส่งจดหมายของคุณแม่ และรูปที่ยูมิเพิ่งไปถ่ายมาเมื่อวานนี้มาให้ และหลังจากนี้คุณแม่บอกว่าให้ยูมิเขียนจดหมายถึงไทซังทุกๆ ปีด้วย ซึ่งยูมิยินดีที่จะทำเพราะไทซังก็เหมือนญาติคนหนึ่งเพียงแต่ไม่เคยพบหน้ากันจริงๆ เท่านั้น
ขอพระผู้เป็นเจ้าอวยพระพรแด่คุณด้วย

ยูมิ”
 
ผมหยิบรูปถ่ายมาดู เป็นรูปครึ่งตัวของสาววัยรุ่นญี่ปุ่นในเครื่องแบบของสถาบันที่เธอเรียน หน้าตาเธอไม่ได้สะสวยนัก แต่ผิวหน้าขาวใสไม่มีสิวฝ้าเลย คิ้วเข้ม ดวงตากลมโต มุมของปากเรียวแดงจิ้มลิ้มที่เหมือนกำลังยิ้มนั้นทำให้เกิดลักยิ้มขึ้นด้วย ผมพลิกดูด้านหลัง เห็นเป็นลายมือเขียนเป็นภาษาอังกฤษว่า “ยูมิ อายุ 21 ปี” แล้วผมก็เปิดลิ้นชักที่โต๊ะเพื่อจะเก็บรูปรวมกับรูปของยูมิอีก 20 ใบ ที่ผมได้รับจากแม่ของเธอมาตั้งแต่ตอนเธออายุ 1 ปี

ซองจดหมายที่แนบมาด้วยนั้นไม่ได้ผนึกไว้ ผมจึงหยิบกระดาษจดหมายออกมา เพียงแค่ประโยคแรกที่อ่าน ความรู้สึกเหมือนมีอะไรมาฉุดกระชากพลังในตัวของผมออกจนหมด จากม่านน้ำตาที่ทำให้จดหมายพร่ามัวก็แปรเปลี่ยนเป็นสายน้ำจากตาที่ทำให้ผมไม่อาจจะอ่านจดหมายต่อไปได้
:: :: :: :: ::

กรุงเทพมหานคร
ในวาระฉลองครบรอบ 200 ปี
“สวยมาก สวยจริงๆ” มิยูกิพูดขึ้นก่อนจะก้มไปดูดน้ำมะพร้าวจากถุงพลาสติก เราสองคนกำลังนั่งอยู่ที่ฐานพระปรางค์วัดอรุณฯ “ไม่น่าเชื่อว่าอยู่ใกล้แค่นี้ ไทซังก็ยังไม่เคยมาดู” มิยูกิพูดต่อ

“บางครั้งได้ชื่นชมอาจจะดีกว่าได้ใกล้ชิดนะ ดูอย่างพระจันทร์สิ มันสวยงามมาตั้งแต่ไหน จนมีรอยเท้าของนีล อาร์มสตรองนั่นแหละ” ผมพยายามแก้ตัว ทั้งๆ ที่มิยูกิพูดถูกต้อง

“เราจะกลับไปโรงแรมกันก่อนไหม” ผมถาม และมิยูกิก็พยักหน้ารับ ตอนนี้หน้าของเธอเต็มไปด้วยเหงื่อ แก้มสองข้างแดงเปล่งปลั่งด้วยความร้อน เธอลุกขึ้นยืนปัดกระโปรงยีนส์ที่ยาวเลยเข่า ก่อนจะหยิบเป้สัมภาระมาคล้องไหล่ ผมเป็นคนแนะนำให้เธอใส่กระโปรงและเสื้อที่ไม่หนานัก เพราะบางสถานที่ที่เราไปไม่อนุญาตให้นุ่งกางเกง ส่วนอากาศยามนี้เหมาะที่สุดสำหรับเสื้อบางเบา
เราเดินออกมาเรียกสามล้อที่ริมถนน โดยผมต้องให้เธอเกาะแขนผมไว้ ผมบอกปลายทางและต่อรองราคาเล็กน้อย ก่อนที่จะให้มิยูกิก้าวขึ้นบนรถก่อน เมื่อรถวิ่งมาบนสะพานพุทธ ลมเย็นๆ จากแม่น้ำเจ้าพระยาทำให้สดชื่นขึ้น แล้วผมก็คิดไปถึงเมื่อวานนี้

:: :: :: :: ::

“เอี๊ยด..ด...ด..” เสียงเบรกรถดังลั่นถนนตรงมุมโรงละครแห่งชาติ เมื่อรถหยุดนิ่งผมก็วิ่งเข้าไปดูพร้อมๆ กับคนขับรถแท็กซี่คันที่เบรก ข้างๆ รถแท็กซี่คันนั้นมีหญิงสาววัยรุ่นกำลังนั่งยองๆ เก็บข้าวของที่ร่วงกระจายบนพื้นถนนเก็บใส่เป้ของเธอ

“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ” คนขับแท็กซี่ถามด้วยสำเนียงทางภาคอิสาน แต่ดูเหมือนเธอจะฟังไม่เข้าใจ

“คุณบาดเจ็บหรือเปล่าครับ” ผมถามเธอเป็นภาษาอังกฤษ “ต้องการให้พาไปโรงพยาบาลมั้ย” เธอสั่นศีรษะ

“เขาว่าอย่างไรครับ” คนขับแท็กซี่ถาม ผมก็บอกเขาไป

“ยังงั้นผมไปส่งผู้โดยสารต่อนะ” คนขับแท็กซี่บอก ผมก็บอกเธอไป เธอพยักหน้า ผมเลยขอชื่อคนขับและจดเลขทะเบียนไว้ เผื่อมีปัญหาทีหลัง ก่อนที่แท็กซี่คันนั้นจะแล่นออกไปจากที่เกิดเหตุ

“ขอบคุณมากนะคะ” เธอพูดกับผม พร้อมกับจะลุกขึ้นยืน แต่เธอก็ต้องเสียหลักจนตัวเอียง ผมรีบเข้าประคองเธอเดินกลับขึ้นมาบนทางเท้า

“สงสัยจะข้อเท้าเคล็ดล่ะมั้ง ไปหาหมอที่คลินิกแถวนี้มั้ย” ผมถามเพราะเห็นว่าข้อเท้าเธอคงจะเคล็ดเพราะเสียหลักล้ม เนื่องจากตกใจ รถแท็กซี่คันนั้นไม่ได้เฉี่ยวหรือชนเธอหรอก

“ขอบคุณค่ะ ถ้าคุณจะกรุณาพาฉันไป” เธอยอมจำนน เพราะคงจะเห็นว่าข้อเท้าเธอเคล็ด

ผมจัดการเรียกสามล้อพาเธอไปคลินิกที่อยู่ตรงสี่แยกคอกวัว ในระหว่างนั้นผมกับเธอไม่ได้คุยกันเลย อาจจะเป็นเพราะต่างคนต่างพูดภาษาอังกฤษกันได้ไม่ดีนัก แต่ผมก็ต้องขอทราบชื่อเธอเพราะต้องแจ้งชื่อคนไข้ เธอหยิบพาสปอร์ตของเธอมาให้ดู ผมจึงทราบว่าเธอเชื่อ “มิยูกิ” และผมก็บอกชื่อตัวเองให้เธอรู้ระหว่างนั่งรอคิวตรวจ หลังจากคุณหมอตรวจและให้ครีมนวดแก้เคล็ดมา ผมก็ละล้าละลังว่าจะทำอย่างไรต่อไปเพราะมีนัดสังสรรค์กับเพื่อนๆ คืนนี้

“ถ้าคุณไม่รังเกียจ ฉันจะขอเลี้ยงอาหารค่ำเป็นการตอบแทนจะได้ไหมคะ” มิยูกิพูดด้วยเสียงมั่นใจเหมือนกับได้ไตร่ตรองมาเป็นอย่างดีแล้ว

“ไม่เป็นไรกระมังครับ ที่ผมทำวันนี้ไม่ได้หวังว่าคุณจะต้องตอบแทนอะไรเลย” เอ..ทำไมผมรู้สึกเขินๆ นะ

“ตกลงนะคะ งั้นเดี๋ยวคุณพาฉันกลับโรงแรมก่อน แล้วค่อยออกมาหาอะไรกินกัน” พูดเสร็จ เธอก็คว้าแขนผม ผมทำท่าจะเบี่ยงแขนหลบ แต่นึกขึ้นได้ว่าเธอจะจับแขนผมเพราะเธอเจ็บข้อเท้า...ผมรู้สึกอายตัวเองจังเลย...ผมเลยเข้าไปยืนข้างที่เธอเจ็บข้อเท้าเพื่อรับน้ำหนักที่ข้างนั้น
เมื่อลงมายืนริมถนนราชดำเนิน เธอขอให้ผมเรียกแท็กซี่ ผมถามชื่อโรงแรม เธอบอกว่า “โอเรียนเต็ล” ผมมองหน้าเธอแล้วถามว่า “ล้อเล่นหรือเปล่า” เธอบอกว่า “โอเรียนเต็ลจริงๆ ค่ะ”

บนรถแท็กซี่เธอถามผมว่า “ทำไมคุณถึงคิดว่าฉันล้อเล่นเรื่องโรงแรม”

“ก็ผมเข้าใจว่าโรงแรมนี้มีแต่พวกนักธุรกิจหรือพวกที่แต่งตัวหรูหราเข้าพัก...เอ่อ..”

“และคุณก็เห็นว่าฉันแต่งตัวไม่เหมือนพวกนั้น?” เธอถามแทรกทันที แล้วเธอก็ก้มมองตัวเอง เธอใส่เสื้อและกระโปรงผ้าฝ้ายพริ้วๆ เหมือนกับที่ชาวญี่ปุ่นชอบใส่กัน

“เปล่า ไม่ใช่เรื่องเสื้อผ้า แต่คุณดูเป็นเด็กเกินไป”

“อ๋อ โอเรียนเต็ลห้ามเด็กเข้าพัก” เธอพูดกลั้วเสียงหัวร่อ ผมเพิ่งสังเกตว่าเสียงเธอใส กังวาน เป็นเสียงแบบคนมีความสุขตลอดเวลา

เมื่อเดินเข้าไปในล็อบบี้โรงแรม ผมก็บอกกับมิยูกิว่าจะขอรออยู่ที่ล็อบบี้ แต่เธอบอกว่าให้ผมขึ้นไปล้างหน้าล้างตาได้ ผมก็มองไปรอบๆ ไม่เห็นพนักงานที่นี่มีท่าทางรังเกียจชุดเสื้อยืดกางเกงยีนส์ของผมเลย ผมก็เลยตามไปที่ห้องพักของเธอ
            
                    :: :: :: :: ::

เขียนครั้งแรกใน www.oknation.net/blog/konto
วันอาทิตย์ ที่ 5 ตุลาคม 2551
มิยูกิที่รัก (1)
Posted by คนโทใส่น้ำ , ผู้อ่าน : 2852

 

สัดส่วนแห่งสวรรค์

เห็นชื่อเรื่อง เดี๋ยวท่านก็จะนึกว่าอีตาคนโทมาอีกแล้ว เรื่องที่แล้วเขียนเรื่อง"จิ๋ม"มาเรื่องนี้เขียนเรื่อง"สัดส่วน"อีกแล้ว
ก็ผมจะเขียนเรื่อง "แมวที่ชื่อจิ๋ม" กับ "เพื่อนที่ชื่อจิ๋ม" ไม่น่าจะมีอะไรแปลกพิสดารนี่นา
คราวนี้เขียนถึง "สัดส่วน" จะว่าเกี่ยวกับคนก็มีส่วนนะ แต่ไม่ได้เน้นว่าเป็นสัดส่วนของคนแบบในรูปนี้หรอกน่า

 

Keeley Hazell ผู้หญิงที่ว่ากันว่ามีนมสวยที่สุดในโลก และเป็นต้นแบบสร้างหุ่นสำหรับโชว์เสื้อผ้าสตรี

ผมจะเขียนถึงส่วนหนึ่งของหนังสือ The Davinci Code ที่ Dan Brown เขียนแล้วขายดิบขายดี เป็นกรณีศึกษาเรื่องวรรณกรรมที่เกี่ยวกับศาสนาที่อ่านแล้วแยกแยะไม่ถูก ว่าอะไรจริง อะไรเป็นจินตนาการของนักเขียน ผมอ่านหนังสือเล่มนี้ตั้งแต่เมื่อ 4 ปีที่แล้ว อ่านแล้วก็ต้องยอมรับว่าเป็นหนังสือที่ไม่อยากวางเลย ถ้ายังอ่านไม่จบ และเมื่ออ่านแล้วทำให้เราต้องค้นคว้าเพิ่มเติมด้วยความอยากรู้อยากเห็น

...ไม่อยากคุยว่าอ่านจบแล้ว ไปค้นคว้าทางอินเตอร์เน็ตในส่วนที่เขาเขียนถึงก่อนจะมีหนังสือถอดรหัสดาวินชี หรือแม้กระทั่งก่อนที่เว็บ www.danbrown.com จะเอารูปและเรื่องพวกนั้นมาลงเสียอีก...(แต่เรื่องนี้อาจจะไม่ใช่เรื่องน่าตื่นเต้นสำหรับผู้ที่ศึกษาเรื่องของเลโอนาโดดาวินชีหรือเกี่ยวกับศาสนวิทยาทางด้านศาสนาคริสต์มาก่อน) หลังจากนั้นมีภาพยนตร์ที่ทอม แฮงค์ นำแสดงออกมาฉายอีก น่าเสียดายว่ารายละเอียดจากหนังสือหายไปมากมาย ด้วยเงื่อนไขเวลา (เงื่อนไขทางธุรกิจ?)
สิ่งที่ได้เรียนรู้และข้อสังเกตจากหนังสือเล่มนี้มีมากมาย เช่นภาพ The Last Supper ซึ่งซ่อนเงื่อนงำความนึกคิดของดาวินชีผู้เขียนภาพนี้เอาไว้ ไม่ว่าจะซ่อนตัว W (woman) ที่แดน บราวน์ค้นคว้ามาเขียน หรือมีรูปมือถือมีดปรากฎอยู่โดยไม่รู้ว่าเป็นมือใคร?


(ภาพ The Last Supper)

 
(ภาพ Later reproduction of The Last Supper.)

 
Mysterious hand holding knife.



ภาพ Virgin of the rocks นั้นจริงๆ มีอยู่สองเวอร์ชั่น คือภาพแรกที่พิพิธภัณฑ์ลูฟว์ ฝรั่งเศส ชื่อว่า Madonna of the rocks และภาพที่เขียนใหม่ภายหลังที่เนชั่นแนล แกลเลอรี่ ลอนดอน แต่ใช้ชื่อว่า Virgin of the rocks มีความแตกต่างกันอย่างจงใจ

แต่ที่ผมสนใจที่สุดคือ
"สัดส่วนแห่งสวรรค์" (PHI) The Golden Number

ซึ่งภาษาทางวิชาการเรียกว่า อัตราส่วนทองคำ (Golden ratio)
ในหนังสือเขียนไว้ว่า "สัดส่วนแห่งสวรรค์" คือเลข 1.618
แต่จริงๆ แล้วเลขที่เป็นทศนิยมไม่รู้จบ คือ 1.61803398874989...
PHI ตัวเลขพิศวงจากธรรมชาติ
1.61803398874989...
 
ลำดับตัวเลขที่ทุกคนกำลังจ้องมองอยู่นี้ เป็นลำดับตัวเลขที่โด่งดังที่สุดแบบหนึ่งในประวัติศาสตร์ เรียกกันว่า ลำดับฟีโบนักชี แม้กระทั่งในหนังสือนวนิยายชื่อดังซึ่งติดอันดับขายดีกว่า 8 ล้านเล่มทั่วโลกอย่าง The Da Vinci Code (รหัสลับดาวินชี) ของแดน บราวน์ ยังได้นำลำดับฟีโบนักชีนี้มาเป็นส่วนหนึ่งในการผูกปมปริศนาตอนต้นเรื่องให้ผู้อ่านต้องรู้สึกฉงนและทึ่งกันมาแล้ว แต่เชื่อหรือไม่ว่าธรรมชาติได้ทำให้เรารู้สึกทึ่งยิ่งกว่านั้นอีกหลายเท่า ด้วยการสร้างตัวเอง ขยายขนาด ขยายการเจริญเติบโต รวมถึงการแพร่พันธุ์ ตามกฎเกณฑ์ของลำดับฟีโบนักชีนี้ด้วย
ความมีชื่อเสียงของลำดับฟีโบนักชีเริ่มเป็นที่รู้จักมาตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 13 โดยนักคณิตศาสตร์ชาวอิตาลีกับชื่ออันเป็นที่มาของลำดับนี้ คือ ลีโอนาโด ฟีโบนักชี ผู้ซึ่งได้พาเราเข้าไปล่วงรู้ความลับของธรรมชาติ จากการที่เขาได้สังเกต และศึกษาปรากฏการณ์ทางธรรมชาติต่างๆ เช่น รูปแบบของฟ้าแลบ รูปแบบของผลไม้ และรูปแบบของเปลือกหอยทาก เป็นต้น การศึกษาของเขาพบว่า การเกิดของ ปรากฏการณ์เหล่านี้มีรูปแบบที่เป็นปกติ และค่อนข้างสม่ำเสมอ โดยนำมาคิดเป็นตัวเลขทางคณิตศาสตร์ คือ 1 1 2 3 5 8 13 21 34 55 89 ….และต่อ ๆ ไป ซึ่งใช้วิธีการจัดเรียงตัวเลขจากการนำตัวเลขที่อยู่สองตัวข้างหน้าบวกกัน ผลลัพธ์ที่ได้จะเป็นตัวเลขตัวถัดไป เช่น 1+1=2, 1+2=3, 2+3=5, 3+5=8, ….
ตัวอย่างง่ายๆ ที่แสดงถึงความปรากฎอยู่ของลำดับฟีโบนักชีในธรรมชาติ ได้แก่
  • การแตกกิ่งก้านสาขาของต้นไม้ตาลูกสนซึ่งมีการจัดเรียงแบบวนก้นหอยที่หมุนตามเข็มนาฬิกาและทวนเข็มนาฬิกาในอัตราส่วนเป็น 5 ต่อ 8
  • หรือตาสับปะรดก็มีการจัดเรียงที่หมุนตามเข็มนาฬิกาและทวนเข็มนาฬิกาในอัตราส่วนเป็น 8 ต่อ 13 เช่นกัน
  • การจัดเรียงเกสรของดอกทานตะวันที่มีการจัดเรียงเกสรแบบหมุนตามเข็มนาฬิกาและทวนเข็มนาฬิกาด้วยอัตราส่วนเป็น 21 ต่อ 34
แต่ความจริงที่ทำให้เราต้องพิศวง ก็คือ ลำดับฟีโบนักชีจะมีอัตราส่วนจากการหารตัวเลขหลังด้วยตัวเลขหน้าโดยเริ่มจากตัวเลขค่าที่สี่เป็นต้นไป
เช่น 5 หารด้วย 3, 8 หารด้วย 5, 13 หารด้วย 8, 21 หารด้วย 13 …ได้ผลลัพธ์ที่เข้าใกล้อัตราส่วน 1.618 และเมื่อตัวเลขยิ่งเพิ่มมากขึ้น ความเข้าใกล้อัตราส่วน 1.618 นี้ก็ยิ่งมากขึ้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด คนโบราณจึงถือว่ามันเป็นสัดส่วนที่ธรรมชาติได้บรรจงสร้างขึ้นอย่างแสนมหัศจรรย์ พร้อมกับเรียกชื่อตัวเลข 1.618 นี้เป็นภาษากรีกโบราณว่า PHI (ฟี) หรือบางครั้งถึงกับเรียกว่า อัตราส่วนทองคำ (Golden ratio)
เราลองมาดูกันว่า PHI มีอยู่แห่งหนใดบ้าง ??
  • ใครที่เคยศึกษาเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเพศผู้กับเพศเมียในสังคมผึ้งคงทราบว่าผึ้งตัวเมียจะมีจำนวนมากกว่าผึ้งตัวผู้เสมอ แล้วถ้าเราลองนำจำนวนทั้งหมดของผึ้งตัวเมียหารด้วยจำนวนทั้งหมดของผึ้งตัวผู้ไม่ว่ารังใดก็ตามในโลกนี้ ค่าที่ได้ก็คือ 1.618 หรือ PHI นี่แหละ
  • ยิ่งไม่ต้องสงสัยกับตัวอย่างที่กล่าวไปก่อนหน้านี้ไม่ว่าจะเป็นการจัดเรียงเกสรของดอกทานตะวัน ตาสับปะรด ตาลูกสน เปลือกหอยที่เป็นเกลียวรอบ ต่างก็มีอัตราส่วนของเส้นผ่าศูนย์กลางของแต่ละวงเทียบกับวงถัดไปเท่ากับ PHI ทั้งนั้น แล้วถ้าหากเราอยากพิสูจน์ว่าแต่ละวงสามารถจัดเรียงได้ตามลำดับ ฟีโบนักชีหรือไม่ก็ง่ายนิดเดียว เพียงแค่เอา 1.618 คูณหรือหารด้วยวงนั้น ๆ เราก็จะสามารถทราบคำตอบของวงถัดไปทั้งวงนอกและวงในได้โดยไม่ยาก
  • หรือในกรณีการแตกใบของต้นไม้ นักชีววิทยาได้พบว่าใบที่แตกใหม่จะทำมุม 137.5 องศากับแนวใบเดิม ซึ่งถ้าเราเอา 360 – 137.5 จะได้ 222.5 จากนั้นจึงเอา 222.5 หารด้วย 137.5 ค่าที่ได้ทุกคนน่าจะเดาถูกนั่นก็คือ PHI ทั้งนี้ นักชีววิทยาได้ให้เหตุผลว่า มุม 137.5 องศา เป็นมุมที่ดีที่สุดในการทำให้ใบไม้ทุกใบของต้นไม้ได้รับแสงแดดมากที่สุดสำหรับการสังเคราะห์อาหารนั่นเอง
  • แม้กระทั่งในตัวเราเอง ใครทายได้บ้าง ว่าจังหวะการเต้นของหัวใจคนเราจังหวะยาวจะยาวกว่าจังหวะสั้นกี่เท่า เฉลยก็คือประมาณ 1.618 เท่า ซึ่งก็คือ PHI อีกแล้วใช่ไหม
  • และที่เหลือเชื่อมีการวิจัยมาแล้ว ว่าคนส่วนใหญ่จะชอบรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่มีอัตราส่วนความยาวต่อความกว้างเท่ากับ 1.6180339887
  • ขณะเดียวกันรูปหน้าของคนที่ได้รับการยอมรับว่าได้รูปสวยงาม ในสายตาของคนส่วนมากก็ยังมีสัดส่วนเทียบเท่ากับ 1.618 นี้ด้วย จึงไม่แปลกที่ PHI จะได้รับการยกย่องว่าเป็นตัวเลขที่งดงามที่สุด ซึ่งเป็นเหมือนรากฐานให้กับธรรมชาติทั้ง พืช สัตว์ และมนุษย์
 

เพนทาเคิล และ ภาพ The Vitruvian Man ล้วนเป็นสัดส่วนแห่งสวรรค์
*ดาวินชีเป็นคนแรกที่แสดงให้เห็นว่าร่างกายมนุษย์แทบจะเรียกได้ว่าประกอบด้วยหน่วยโครงสร้างซึ่งมีอัตราส่วนของสัดส่วนเท่ากับ PHI เสมอ
  • สัดส่วนทั้งชายและหญิง วัดระยะจากหัวถึงพื้น แล้วหารด้วยระยะจากสะดือถึงพื้น คือ PHI
  • วัดระยะจากไกล่จนถึงปลายนิ้วมือ แล้วหารด้วยระยะจากข้อศอกถึงปลายนิ้วมือ คือ PHI
  • จากสะโพกถึงพื้น แล้วหารด้วยเจากเข่าถึงพื้น คือ PHI
  • ข้อนิ้วมือ นิ้วเท้า กระดูกสันหลัง ล้วนแล้วแต่เป็น PHI มนุษย์คือผลลัพธ์ที่เดินได้ของสัดส่วนแห่งสวรรค์
  • นอกจากนั้น PHI ยังไปปรากฎอยู่ในงานสถาปัตยกรรมและงานศิลปะที่มีความสำคัญต่อ ประวัติศาสตร์มากมาย อย่างภาพวาดโมนาลิซา ผลงานชิ้นเอกของลีโอนาโด ดาวินชี จิตรกรชื่อก้องโลก ก็มีอัตราส่วนใบหน้าและร่างกายเท่ากับ PHI
  • วิหารพาร์เธนอนของกรีกและพีระมิดของอียิปต์ก็ใช้ PHI ในการออกแบบโครงสร้าง



  • หรือแม้แต่ในงานดนตรี PHI ยังปรากฎอยู่ในโครงสร้างการวางระบบของนักประพันธ์เพลงชื่อดัง ทั้งในโซนาต้าของโมซาร์ท ซิมโฟนีหมายเลขห้าของเบโธเฟน
  • แม้แต่ในเครื่องดนตรีคลาสสิคไวโอลิน เมื่อเรานำความยาวของฟิงเกอร์บอร์ดมาเปรียบเทียบกับความยาวของไวโอลินก็จะได้ PHI เป็นคำตอบเดียวกัน
  • ไม่เว้นแม้แต่บัตรเครดิต

นี่คือตัวอย่างการศึกษาทางคณิตศาสตร์เพื่อใช้อธิบายปรากฏการณ์และความจริงทางธรรมชาติ ทำให้เราได้ค้นพบว่าสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นนั้น ธรรมชาติล้วนได้สร้างกฎเกณฑ์พื้นฐานรองรับไว้อย่างน่าอัศจรรย์ พร้อมกันนั้นยังก่อให้เกิดสัดส่วนที่มีความสมส่วนซึ่งกันและกันของขนาด จนกลายเป็นความงาม ความกลมกลืน ที่เราต่างก็ยอมรับถึงความเหมาะเจาะลงตัว คอยดูกันต่อไปดีกว่า ว่าในอนาคตธรรมชาติจะทำให้เราต้องประหลาดใจกันอีกแค่ไหน
เรื่องนี้อาจจะยาวมาก แต่เห็นมั้ย ว่าไม่ได้ "โป๊" สักหน่อย

(ภาพประกอบทั้งหมดจากอินเตอร์เน็ต ส่วนใหญ่จากเว็บ www.danbrown.com เนื้อหาบางส่วนจากหนังสือ* และจากเว็บ www.nsm.or.th/modules.php?name=News&file=article&sid=170)

เขียนครั้งแรกใน www.oknation.net/blog/konto
วันพุธ ที่ 30 เมษายน 2551
สัดส่วนแห่งสวรรค์
Posted by คนโทใส่น้ำ , ผู้อ่าน : 7551

Saturday, December 5, 2015

ขอเม้าท์เรื่อง "จิ๋ม" ของเพื่อนสาว

เพื่อนสาวตัวดีโทร.มาบอกว่า "จิ๋ม"ของเธอไม่ปกติ 
ให้มาดู "จิ๋ม" ของเธอให้หน่อยจิ 
คุณหมอโคทนคนโทก๊ะเลยรีบแล่นไปแบบเหาะได้ก็เหาะไปแล้ว 

ไปถึงคอนโดที่เธออยู่ ห้องมันทึบๆ 
เธอก็ไปรูดม่านให้แสงสว่างเข้ามาในห้องจะได้เห็น "จิ๋ม" ถนัดๆ 
แต่ด้วยแสงยามเย็นทำให้เห็นไม่ถนัดแม้ไฟในห้องจะเปิดอยู่
เลยให้เพื่อนขยับ "จิ๋ม" มาดูใกล้ๆ

"จิ๋ม" นั้นใหญ่เกินอายุ  ขนยาวดำมันขลับ
เห็นแล้วอดเอามือไปลูบไม่ได้  
 ...อือม...เนื้อแน่นดีจริงๆ แสดงว่าเจ้าของดูแล "จิ๋ม" เป็นอย่างดี 

เอามือซุกเข้าไปใต้ขน สัมผัสกับ "จิ๋ม"
รู้สึกว่า "จิ๋ม" สะท้านเล็กน้อยๆ "จิ๋ม" นั้นร้อนผ่าวเลย 
คลำ "จิ๋ม" ดูตรงที่เพื่อนสาวบอกว่าไม่ปกติ 
ก็รู้สึกว่ามันบวมๆ เป็นลูกๆ ขึ้นมา  
เอ๊ะ รู้สึก "จิ๋ม" จะเปียกด้วย ชักมือกลับมาดู มีเลือดติดปลายนิ้วมาเล็กน้อย 

ก้มลงไปดมใกล้ๆ รู้สึก "จิ๋ม" จะมีกลิ่นไม่ปกติด้วย
ก็เลยแหวกขน "จิ๋ม" ดู จึงเห็นว่า "จิ๋ม" เป็นฝีนั่นเอง
ฝีมันแตก "จิ๋ม" เลยมีไข้ 

เอาไซริ้งเจาะแล้วดูดหนองออก ทำความสะอาด ใส่ยา ให้เรียบร้อย 
แล้วบอกกับเพื่อนสาวว่าให้ทำความสะอาด ใส่ยา "จิ๋ม" วันละครั้ง 
อย่าให้ "จิ๋ม" โดนน้ำ
แล้วก็อย่าให้ใครมายุ่งกับ "จิ๋ม" เดี๋ยว "จิ๋ม" จะติดเชื้ออีก
เสร็จแล้วก็เอามือลูบ "จิ๋ม" อีก 3-4 ครั้งเป็นการอำลา
"จิ๋ม" ก็ร้อง "เมี้ยวๆๆ" เป็นการขอบคุณ

เขียนครั้งแรกใน www.oknation.net/blog/konto
เรื่องจริงยาวกว่านี้ ตัดตอนมาเฉพาะหัวเรื่อง
วันอังคาร ที่ 29 เมษายน 2551
ขอเม้าท์เรื่อง จิ๋ม ของเพื่อนสาว
Posted by คนโทใส่น้ำ , ผู้อ่าน : 12944

เก็บคำ จำสำนวน ชวนดูหนัง

Geroge "Hey, would you, hu, love me the rest of my life?"
Lace "No. I'm gonna love you for the rest of mine"
จอร์จ “เอ่อ คุณจะรักผมไปจนตลอดชีวิตของผมมั้ย”
เลซ “ไม่ ฉันจะรักคุณตราบชั่วชีวิตของฉัน”Phenomenon

นอกจากรักคุณแล้ว ผมทำอะไรไม่เก่งเลย
The Classic
 
Life is like a box of chocolates. You never know what you gonna get.
ชีวิตก็เหมือนกับกล่องช็อกโกแลต คุณไม่รู้หรอกว่าคุณจะได้อะไร
Forrest Gump

If we don't stand for someting, we will fall for everything.
หากเราไม่ยึดมั่นในบางสิ่ง เราก็จะตกหลุมพรางในทุกเรื่อง
Purpose

You've got to appreciate what you have while you still have it. 
คุณควรจะรู้ค่าของสิ่งที่มีขณะคุณยังมีมันอยู่
About Schmidt

Do not confuse luck with skill.
จงอย่าสับสนระหว่างความโชคดีกับทักษะส่วนตัว
The Replacement Killers

The choice you made dictate the life you lead.
ทางที่คุณเลือก กำหนดชีวิตที่คุณดำเนิน
Renaissance Man
 
The hardest thing in the world is to belive in something
สิ่งที่ยากที่สุดในโลกคือการเชื่อมั่นในบางสิ่ง
Without Limit

The only feeling of real loss is when you love someone more than you love yourself.
ความรู้สึกเดียวของความสูญเสียอย่างแท้จริง คือการที่คุณรักใครสักคนมากกว่าที่คุณรักตัวคุณเอง 
Good Will Hunting

Life doesn't always turn out like you planned.
ชีวิตมักไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้
While you were sleeping

Hesitation will cause your worst fears to come true.
ความลังเลเป็นสาเหตุทำให้ความกลัวเป็นจริง
Point Break
 
If you hang on to the past, you die little each day.
ถ้าคุณฝังตัวเองไว้กับอดีต คุณก็กำลังตายทีละน้อย
Cape Fear

The distance between inanity and genius is measured by success.
ความสำเร็จเป็นเครื่องวัดความแตกต่างระหว่างบ้ากับอัจฉริยะ
James Bond : Tomorrow Never Dies
 
The truth is what everybody accepts.
ความจริงคือสิ่งที่ทุกคนยอมรับ
Twelve Monkeys
 
Without struggle, there is no progress.
หากปราศจากการดิ้นรน ก็จะไม่มีความก้าวหน้า
Higher Learning

The only to stay of trouble to grow old.
หนทางเดียวที่จะอยู่ห่างความยุ่งยาก คือการทำตัวเป็นผู้ใหญ่
The lady from Shanghai

In every job that must be done, there is element of fun.
ทุกๆ งานที่จะต้องทำมักมีองค์ประกอบของความสนุกอยู่เสมอ
Marry Poppins

The only wrong thing would be to deny what your heart truly feels.
สิ่งผิดพลาดสิ่งเดียว คือปฏิเสธสิ่งที่หัวใจของเธอรู้สึกอย่างแท้จริง 
The Mask of Zorro

You will be doing anything for the one you love..except love them again.
คุณจะทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อคนที่คุณรัก ยกเว้นรักเขาอีกครั้ง 
Faithful

Love is like the wind. You cannot see it but you can always feel it. 
รักก็เหมือนกับสายลม เธอมองไม่เห็น แต่คุณสามารถรู้สึกถึงมันได้เสมอ
A walk to Remember
 
With great power comes great responsibility.
พลังอันยิ่งใหญ่มาพร้อมภาระอันใหญ่ยิ่ง
Spider Man
 
If you love someone you say it, your say it right then, out loud, or the moment just...passes you by.
ถ้าคุณรักใครสักคน จงบอกเขาไปดังๆ ทันที หรือว่าจะปล่อยให้ผ่านไปโดยที่เขาไม่รู้เลย
My best best friend's wedding

If you ever want something badly, let it go. If it comes back to you, then it's yours forever. If it doesn't, then it was never yours to begin with.
หากคุณเคยต้องการบางสิ่งเป็นอย่างมาก จงปล่อยมันไป ถ้ามันกลับมาหาคุณ มันก็จะเป็นของคุณตลอดไป แต่ถ้ามันไม่กลับมา แสดงว่ามันไม่เคยเป็นของคุณตั้งแต่แรกแล้ว
Indecent Proposal

Caroline "You love with you mind and soul, not your heart."
Adam (Touching his chest) "Then how come I hurt here when you're not with me?"
แคโรลีน “คุณรักด้วยความคิดและวิญญาน ไม่ใช่หัวใจ”
อดัม “เป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อฉันเจ็บตรงหัวใจเวลาที่คุณไม่อยู่กับผม
Untamed Heart

Jerry "I love you. You ... complete me."
Dorothy "Shut up. Just shut up. You had me at "Hello"
เจอรี่ “ผมรักคุณ คุณมาเติมเต็มชีวิตของผม”
โดโรธี “หยุดเลย หยุดพูดเลย คุณได้ใจฉันไปตั้งแต่คุณทักทายฉันแล้ว"
Jerry Maguire

Love means never having to say you're sorry
รัก คือ เมื่อรักแล้วจะต้องไม่มีคำว่าเสียใจ
Love Story

The grestest thing you'll ever learn is just to love and be loved in return.
สิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่คุณเรียนรู้จากความรักคือ การที่เรารักใคร แล้วเขาก็รักคุณเช่นกัน
Moulin Rouge

It's not becuase I'm lonely, and it's not because it's New Year's Eve.I came here tonight because when you realize you want to spend the rest of your life with somebody, you want the rest of your life to start as soon as possible."
มันไม่ใช่เพราะฉันเหงา และไม่ใช่เพราะเป็นวันปีใหม่ ฉันมาที่นี่ คืนนี้ เพราะฉันตระหนักดีว่าฉันต้องการใช้ช่วงเวลาที่เหลือในชีวิตฉันกับใครสักคน  เธออยากจะเริ่มใช้ชีวิตที่เหลือในตอนนี้เลยมั้ย”
When Harry Met Sally

Melvin "You make me want to be a better man"
Caral "That's may be the best complement of my life"
เมลวิน “คุณทำให้ผมต้องการเป็นคนที่ดีขึ้น”
แครอล “นั่นอาจจะเป็นคำชมที่ดีที่สุดของชีวิตฉัน” 
As Good As It Gets



เขียนครั้งแรกใน www.oknation.net/blog/konto
วันพฤหัสบดี ที่ 12 กุมภาพันธ์ 2552
เก็บคำ จำสำนวน ชวนดูหนัง
Posted by คนโทใส่น้ำ , ผู้อ่าน : 6833

 

รักระหว่างลบ

สงครามระหว่างเขาและเธอยืดเยื้อมาเนิ่นนาน
ทุกข์เกินจะทนแล้ว
สงครามนี้ต้องจบลงเสียที

เขาเดินเข้าไปที่ศูนย์ BE (Brain Edit)
พนักงานต้อนรับสาวสวย ถอดแบบโครโมโซมจากอั้ม พัชราภา ปรี่เข้ามาต้อนรับ
หลังจากลงทะเบียนประวัติด้วยการสแกนลายนิ้วมือแล้ว
เขาถูกนำไปห้อง Memory Scan เพื่อตรวจสอบความทรงจำที่เขาต้องการตกแต่งใหม่
ผ่านไปเนิ่นนาน กว่าเขาจะได้พบกับที่แพทย์ที่ปรึกษา
หน่วยงาน BE สังกัดกระทรวงความสุขแห่งมวลมนุษย์
ที่นี่ไม่มีการไกล่เกลี่ย
ที่นี่ไม่มีการประนีประนอม
ที่นี่ไม่มีความทุกข์
เพราะความทุกข์เป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ในประชาคมแห่งนี้
หลังการพูดคุยกับแพทย์ที่ปรึกษา เขาได้รับนัดหมายให้มารับการบำบัดในสัปดาห์หน้า
ก่อนออกจากอาคาร BE อันทันสมัย
เขาถูกพนักงานสาวสวยอีกคนในโครโมโซมของพลอย เฌอมาลย์ฝังชิปบันทึกพฤติกรรมในอีกเจ็ดวันข้างหน้า

::  ::  ::  ::  ::

เขากลับมาที่บ้าน
ภรรยาของเขากำลังทำความสะอาดบ้าน
แม้มีเครื่องปรับอุณหภูมิ แต่เหงื่อก็โทรมกายร่างท้วม ผมเผ้ายุ่งเหยิงนั้นเริ่มมีผมหงอกแซมขึ้นมาแล้ว
"คุณไปไหนมา ฉันบอกแล้วว่าวันนี้จะทำความสะอาดบ้าน น่าจะมาช่วยกันบ้าง"
ชายหนุ่มผายมือแบบให้รู้ว่าไม่มีคำตอบสำหรับคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบนั้น
"อย่างนั้นคุณช่วยกำจัดขยะ แล้วส่งผ้าไปซักด้วย"
ชายหนุ่มทำท่าเหนื่อยหน่ายแล้วจัดการถ่ายขยะจากถังส่งเข้าแคปซูล แล้วกดปุ่ม "รีไซเคิล" ก่อนแคปซูลนั้นจะวิ่งหายไปตามท่อใสๆ ที่เชื่อมต่อกับทุกระบบในประชาคมแห่งนี้
จากนั้นเขาเข้าไปในห้องนอน เก็บเสื้อผ้าที่ต้องการส่งซัก บรรจุใส่อีกแคปซูลที่มีรหัสครอบครัวแต่คราวนี้เขากดปุ่ม "ทำความสะอาด" ก่อนส่งเข้าท่อใสๆ
เสร็จจากภารกิจที่ยุ่งยาก น่าเบื่อหน่าย เขาชงกาแฟแล้วมานั่งในห้องนั่งเล่น
เขาเปิดเครื่องเสียงแล้วก็หยิบหูฟังมาครอบศีรษะ...เสียงจากเครื่องทำความสะอาดที่ภรรยาของเขากำลังใช้อยู่ ทำลายความสงบของเขาเหลือเกิน
เขามองผู้หญิงที่กำลังทำงานบ้านอยู่ แล้วนึกไปว่าเขาแต่งงานกับผู้หญิงคนนี้ได้อย่างไรกัน ภาพที่วุ่นวายนี้รบกวนสายตาจนสุดจะทน เขาจึงหยิบแว่นมโนมิติ (Virtual Mind) ออกมาเพื่อดูข่าวสารของประชาคม
นาทีนั้น เขาอยากจะจับเธอใส่แคปซูล แล้วกดปุ่ม "ทำความสะอาด" กับ "รีไซเคิล" พร้อมๆ กัน
แต่...ไม่เป็นไร...อีกเจ็ดวัน...ฉันก็ไม่รู้จักเธอแล้ว
คิดถึงตรงนี้...รอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้าของเขา

::  ::  ::  ::  ::

พยาบาลสาวสวยในโครโมโซมของแอ๊ฟ ทักษอร จัดท่านั่งให้เขาสบายที่สุดบนเก้าอี้สแกน
"ยาที่ฉีดเข้าไปจะทำให้คุณสบายที่สุด และถ้าตรงไหนของความทรงจำที่คุณต้องการเก็บเอาไว้ ไม่ต้องการลบ เครื่องลบจะข้ามไปอัตโนมัติตามกระแสไฟจากสมอง"
"จากนี้อีกหนึ่งนาทีคุณจะหลับไปและจะตื่นขึ้นมาอย่างมีความสุข...โชคดีนะคะ"

::  ::  ::  ::  ::

ร่างเขาลอยลิ่วๆ เหมือนถูกดูดกลับไปในอุโมงค์อันมืดมิด
ภาพของชายวัยกลางคนหน้าตาอมทุกข์ กำลังตะเกียกตะกายหนีจากแรงดึงดูดลึกลับ

ท้องฟ้าชายทะเลสดใสเจิดแจ่ม
ชายหาดยามเช้า มีแต่เสียงคลื่นซัดสาดประหนึ่งเสียงดนตรี

ชายหนุ่มสะโอดสะองคนหนึ่งเดินโอบเอวกับหญิงสาวสวยรูปร่างดี
เสียงน้ำตกซ่าสนั่นป่า เสียงนกร้องในแนวไม้รอบๆ น้ำตก
ที่นี่ชุมชื้น ชุ่มฉ่ำทั้งปี หินน้อยใหญ่มีตะไคร่เขียวเคลือบครึ้ม
ชายหนุ่มเอื้อมมือให้หญิงสาวจับเพื่อก้าวข้ามโขดหิน
เมื่อยืนเคียงคู่กัน ชายหนุ่มโอบไหล่หญิงสาวอย่างทะนุถนอม

หมอกขาวโพลนบนเส้นทางเงียบเหงา
ยอดดอยหนาวมีเพียงสองชีวิตเดินอ้อยอิ่งอยู่บนเส้นทาง
ทั้งสองเดินห่างกันเพียงระยะแขนสองข้างกระชับมือกันได้

แสงเทียนวิบวับบนโต๊ะอาหาร ในห้องอาหารบรรยากาศโรแมนติก
ชายหนุ่มกุมมือหญิงสาวอย่างอบอุ่นในเสียงเพลงหวานไพเราะ
นานๆ ครั้ง ทั้งคู่จะหันมาสบตากันด้วยประกายแห่งความรัก

ฯลฯ

ฉากต่างๆ ผ่านวับวาบเข้ามา แล้วผ่านไป
ความรักของชายหนุ่มและหญิงสาว
ก่อเกิด...เติบโต...
จากคนสองคนมาพบกัน...
แล้วรวมเป็นหนึ่ง...
สุขที่ต่างคนต่างมี กลายเป็นร่วมสุข
ทุกข์ที่ต่างกันต่างสร้าง ต่างมี กลายเป็นร่วมทุกข์
จากคนสองคนที่มีความรัก
กลายเป็นคนสองคนที่ต้องมีความรับผิดชอบร่วมกัน
จากคนสองคนที่มีปัญหาเดียวกัน
กลายเป็นต่างพยายามบอกว่าเป็นปัญหาของอีกฝ่ายหนึ่ง

จากความรักที่เคยมีให้กัน
กลายเป็นความทุกข์ที่ต้องมีกันและกัน
บนเส้นทางอันยาวไกล
จุดสุดท้ายเป็นเช่นนี้
ระยะทางระหว่างจุดเริ่มต้น
จนถึงวันนี้
ไม่มีความหมายเลยหรือไร

::  ::  ::  ::  ::
เขายืนอยู่ที่หน้าห้องๆ หนึ่ง หลังจากกดกริ่ง
เบื้องหลังประตูที่เลื่อนเปิด เป็นหญิงร่างท้วม ไร้เครื่องสำอาง
เขายิ้มให้เธอ พร้อมกับกุหลาบสีขาวช่อใหญ่
เธอยิ้มรับแบบงงๆ
"คุณไม่ได้ทำแบบนี้มานานแล้วนะคะ มีอะไรจะเซอร์ไพรส์ฉันเหรอ"
เขาไม่ตอบ แต่รั้งร่างของเธอมากอดและจูบเธออย่างรักใคร่
ชั่ววินาที...เขานึกถึงเสียงเนิบช้าของแพทย์ที่ปรึกษา
"ดูเหมือนคุณแทบจะไม่ได้ลบความทรงจำออกไปเลย นี่แหละ...เราจะรู้คุณค่าของความรัก ต่อเมื่อเรากำลังจะสูญเสียมันไปเสมอๆ..."

::  ::  ::  ::  ::

เขียนครั้งแรกใน www.oknation.net/blog/konto
วันจันทร์ ที่ 24 สิงหาคม 2552
Posted by คนโทใส่น้ำ , ผู้อ่าน : 1702

แม่ครับ..ผมขอโทษ

ในวันตรุษจีน หลังจากไหว้บรรพบุรุษเสร็จเรียบร้อย
ตอนเที่ยง ลูกหลานก็นั่งล้อมโต๊ะ โดยมีแม่นั่งเด่นเป็นประธาน
ลูก ๗ คน (น้องชายเสียชีวิต ๑ คน) หลาน ๑๕ คน เยอะจนต้องแยกโต๊ะให้เด็กๆ อีก ๒ โต๊ะ
กินกันจนอิ่มหนำสำราญ ก็นั่งคุยกัน ส่วนมากมักจะย้อนไปในวัยเยาว์
แต่มีประโยคหนึ่งที่แม่พูดเหมือนเดิมทุกปีเหมือนกับว่าเรื่องนี้ติดอยู่ในใจของแม่ตลอดมา
ฉันก็อยากบอกแม่ว่า เรื่องนี้ก็ติดอยู่ในใจฉันตลอดมาเหมือนกัน

: :: ::: :::: ::: :: :

ตอนนั้นฉันอายุ ๑๕ ย่าง ๑๖
อายุขนาดนี้ สำหรับแม่...เราทำอะไร แม่ก็ขัดตา
อายุขนาดนี้ สำหรับเรา...แม่พูดอะไร เราก็ขัดหู
วิวาทะระหว่างแม่ลูกก็มักจะจบลงด้วยการถูกตี
ไม่ใช่การยืนกอดอก ใช้ไม้เรียวฟาดก้นเหมือนที่โรงเรียน
แต่เป็นฝ่ายหนึ่งเงื้อไม้ขัดหม้อข้าวที่หนาหนัก ฟาดทุกที่ที่ฟาดได้
อีกฝ่ายหนึ่งยกมือยกไม้ป้องกันตัว จนดูเหมือนว่า "สู้"

: :: ::: :::: ::: :: :

ฉันไม่ใช่เด็กเกเร
อยู่โรงเรียนก็เป็นทั้งหัวหน้าห้องและหัวหน้านักเรียนทั้งโรงเรียน
ฉันสอบได้ที่ ๑ หรือ ๒ เป็นประจำ โดยไม่มีใครเคี่ยวเข็ญ
ลูกทุกคน ต่างคนก็ต่างรับผิดชอบตัวเอง ทุกคนมีหน้าที่เรียนและทำงานบ้านที่ได้รับมอบหมาย
หลังจากเตี่ยเสียชีวิตไป ลูกๆ ๘ คนและยายอีก ๑ คนคือภาระของแม่คนเดียวที่ต้องเลี้ยงดู
พี่บางคนก็ต้องออกจากโรงเรียนตั้งแต่ ป.๔ เพื่อให้น้องได้เรียน
พี่ๆ ๕ คน ได้เรียนต่อแค่ ๒ คน ฉันและน้องอีก ๒ คน
รวมเป็น ๕ คน ที่เป็นภาระของแม่
...แม่เครียดกับภาระนี้...
...ลูกๆ ก็เครียดกับความเครียดของแม่...

: :: ::: :::: ::: :: :
แล้ววันที่เกิดเป็นรอยแผลในใจทั้งของฉันและของแม่ก็เกิดขึ้น
หลังจากปิดเทอมเมื่อสอบชั้น ม.ศ. ๒ เสร็จ ไม่กี่วัน
ฉันจำต้นเรื่องที่ทำให้แม่ดุด่าไม่ได้
จำได้แต่ว่า ในวัยนั้น ฉันเถียงเก่งจริงๆ เก่งอย่างที่เรียกว่า "เถียงคำไม่ตกฟาก" เลยล่ะ
หลังวิวาทะ โต้เถียง แม่ไปหยิบไม้ขัดหม้อข้าวคู่ใจ
ฉันยืนนิ่งๆ ให้แม่ตี โดยไม่ถอยหนีไม่ป้องกันเหมือนที่เคยทำ
แม่อยากจะตีตรงไหนก็ตีไป จนเป็นริ้วระบมทั่วทั้งแขนสองข้าง หลัง และไหล่
หลังของฉันเลือดออกซิบๆ
หัวใจของฉันเป็นแผล เลือดออกซิบๆ
แม่ตีไป ร้องไห้ไป
ฉันกลั้นสะอื้น ตะโกนออกไปว่า
"อยู่บ้านนี้อั๊วไม่มีความสุขเลย"

แม่คงผิดหวังลูกคนนี้ที่สุด ตวาดกลับมาทั้งน้ำตาว่า
"ลื้อไปเลย ที่ไหนมีความสุขกว่าบ้านนี้ ลื้อก็ไปเลย"

ฉันหันหลังให้แม่ เดินไปหยิบเสื้อมาใส่
ปวดแผลเหลือเกิน แต่ปวดข้างในนั้นยิ่งกว่านัก
หยิบกระป๋องออมสินที่คงมีเงินไม่เกิน ๒๐ บาท ใส่กระเป๋ากางเกง
ยายร้องไห้มาเกาะขาฉันไว้
"อย่าไป ลูกอย่าไป"
แล้วหันไปตวาดว่าแม่
"เป็นแม่ภาษาอะไร มาไล่ลูกออกจากบ้านแบบนี้"
ฉันแกะแขนยายออก
"อาม้า อั๊วอยู่บ้านนี้ไม่ได้แล้ว อั๊วไปก่อนนะ"

แล้วฉันก็เดินร้องไห้ออกจากบ้านมา ทิ้งเสียงร้องไห้โฮของยายไว้เบื้องหลัง
เพื่อนบ้านบางคนเรียกจะใส่ยาให้ แต่ฉันปฏิเสธ
...ปวดแผลเหลือเกิน
แต่ปวดข้างในนั้นยิ่งกว่านัก...

: :: ::: :::: ::: :: :
ไม่ใช่เรื่องยากที่จะโบกรถสิบล้อจากที่ตลาดเข้าตัวจังหวัดสุพรรณฯ
...แต่ฉันไม่รู้จะไปไหน...
รถคันที่รับฉันขึ้นมา เขาไปแค่นครปฐม ฉันขอลงที่องค์พระฯ
โบกรถต่อ มาลงวงเวียนใหญ่ที่ฉันพอจะรู้จัก
ที่อนุสาวรีย์พระเจ้าตากสิน ฉันนั่งแคะออมสิน ได้เหรียญสลึงเหรียญห้าสิบทั้งหมด ๑๘ บาท...
...เริ่มคิดถึงการเอาชีวิตให้รอด ในเมืองที่ฉันไม่คุ้นเคย...

: :: ::: :::: ::: :: :

ดวงอาทิตย์ลับฟ้าไปแล้ว
ฉันเดินไปเดินมาแถวโรงหนังสุริยา ตัดสินใจกินก๋วยเตี๋ยว หมดไป ๑๐ บาท ยังมีเหรียญเหลือในกระเป๋าอีก ๘ บาท
ก็พออิ่มไปได้อีกมื้อเมื่อท้องได้เติมน้ำเปล่าๆ เพิ่มเข้าไปอีกหลายแก้ว
เดินเตร่ย่านวงเวียนใหญ่ ไปถึงสำเหร่ เดินย้อนกลับมาอีกทีถึงสะพานพุทธ เข้าลาดหญ้า
สุดท้ายก็มานอนที่วงเวียนใหญ่ เพราะไม่เปลี่ยว มีคนนั่งๆ นอนๆ กันเยอะ
พื้นหญ้ายังอุ่นๆ จากไอแดด
แม้นุ่มกว่าเสื่อที่เคยปูนอนบนเตียง แต่ก็ไม่สบายตัว
สองมือประสานแทนหมอนนุ่มๆ ที่บ้าน
ตาก็เพ่งมองดวงดาวที่ดารดาษเกลื่อนฟ้า..มันก็ดวงเดียวกับที่เห็นจากที่บ้าน
ความคิดที่เลื่อนลอย คิดไปต่างๆ นานา
ทุกเรื่องล้วนโยงกลับไปเปรียบเทียบกับที่บ้าน
คิดแล้วน้ำตาก็ไหลออกมาไม่รู้ตัว
กองทัพยุงบุกมาจนนอนต่อไม่ไหว ต้องลุกขึ้นเอนนั่งพิงต้นไม้
สองมือปัดยุงเป็นพัลวัน
สุดท้ายยอมแพ้ปล่อยให้กองทัพยุงสูบเลือดตามสบาย
แม้ยุงกัดจะน่ารำคาญ แต่เสียงยุงที่บินตอมหน้าตาน่ารำคาญยิ่งกว่า
แม้ยุงกัดจะเจ็บ แต่รอยแผลที่ถูกตียังเจ็บยิ่งกว่า
และใจก็ยังเจ็บแปลบๆ
คิดถึงมุ้งเก่าๆ แต่สะอาดสะอ้านของที่บ้าน
คิดถึงเตียงนอนไม้กระดานที่แต่ละแผ่นกว้างเป็นศอกๆ
คิดถึงวันคืนที่ได้กินร้อนนอนอุ่น
คิดถึงยาย
คิดถึงน้องสองคน
น้ำตาก็พานไหลออกมาอีก...จนหลับไป
เสียงแตรรถ ทำให้ตกใจตื่น
ยังคิดว่านอนอยู่ที่บ้าน แต่ตัวชื้นชุ่มเพราะน้ำค้าง
มองไปรอบตัว คนที่นอนอยู่ในวงเวียนหายไปกว่าครึ่งแล้ว
ฉันเดินโผเผไปทางดาวคะนองด้วยตัวที่ลายพร้อยไปด้วยผื่นยุง
ท้องร้องโครกคราก หิวจนจะเป็นลม
ไม่เคยหิวแบบนี้ แม้ที่บ้านจะไม่ร่ำรวย แต่อาหารการกินไม่เคยขาดแคลนแถมยังรสเลิศอีกด้วย
ใกล้เที่ยงแล้วนั่นแหละ มาถึงแถวจอมทอง
เห็นเด็กรุ่นเดียวกันทำงานที่ร้านทำเหล็กดัดมุ้งลวด
เดินเข้าไปถามหาเถ้าแก่
ขอข้าวสักมื้อแลกกับแรงงาน
เถ้าแก่บอกให้ไปกินข้าวก่อนแล้วค่อยคุยกัน
ข้าวสวยแข็งๆ สองจานพูนๆ กับสารพัดผักผัดน้ำมัน
ทำให้มีเรี่ยวมีแรง
น้ำยาอุทัยจากกระติกแช่น้ำแข็งก้อนใหญ่
ทำให้ชุ่มชื่น
เถ้าแก่เมตตาให้งานทำ
ค่าแรงวันละสามสิบบาท กิน นอน ที่ร้าน
แรงงานขาดทักษะอย่างฉัน
ใหม่ๆ ก็ทำได้แค่ตัดเหล็ก ขัดขี้อ๊อก ขัดสี ทารองพื้น
แม้นจะกินแรงหนักหนา
แต่ไม่มีอะไรเหลือบ่ากว่าแรงเด็กบ้านนอกคนนี้
อาหารเย็น ผักผัดกับแกงจืดผักกาดขาวเจือกลิ่นหมูสับ
ทำให้นึกถึงกับข้าวโอชารสฝีมือยาย
น้ำพริกรสละมุนลิ้นกับผักลวก
...ยายกินข้าวหรือยังนะ
...น้องกินข้าวกับอะไรนะ
น้ำตาไหลจนต้องแอบเช็ด
คนงานนอนรวมกันที่ชั้นสามของร้าน
เสื่อขาดๆ หมอนเหม็นๆ ไม่มีมุ้ง
กองทัพยุงที่นี่ทำให้ยุงที่วงเวียนใหญ่กลายเป็นเรื่องเล็ก
นอนตบยุงจนมือสองข้างเต็มไปด้วยเลือด
แว่วเสียงเพื่อนคนงาน
"มึงจะตบทำไมวะ หนวกหู"
คิดถึงมุ้งที่บ้านจังเลย
อาหารเช้า ข้าวต้มกับยำกุ้งแห้ง
คนงานอาวุโสร้องบอก "กินข้าวต้มเยอะๆ กุ้งแห้งอย่าไปกินมาก"
นึกว่าเขาหวง
ตลอดสามเดือนต่อมา
ถ่ายหนักออกมาเป็นสีแดงทุกวัน
เพราะอาหารมื้อเช้า มีเมนูเดียว

นึกถึงปลาหมอทอดกระเทียมพริกไทย
นึกถึงปลาตะเพียนทอดน้ำปลา
นึกถึงปลาดุกย่าง น้ำปลาหวาน
นึกถึงปลาช่อนทอดคึ่นไช่
นึกถึงหมูผัดขิงฝีมือยาย
...ยายกินข้าวหรือยังนะ
...น้องกินข้าวกับอะไรนะ

ฝ่ามือที่แข็งกระด้างขึ้น
ทำให้นึกไปถึงงานบ้านที่ต้องรับผิดชอบ..แค่น้อยนิด แล้วยังบ่นจนถูกดุด่า
เนื้อตัวที่แห้งเป็นสะเก็ดเพราะควันและไอร้อนจากการอ๊อกเหล็ก
ทำให้นึกไปถึงมือแห้งเหี่ยวของยายที่คอยลูบไล้
ทำให้นึกไปถึงมือน้อยๆ นุ่มๆ ของน้องที่มาเกาะกุมให้พาไปเที่ยวเล่น

เดือนที่สองเถ้าแก่ก็ขึ้นเงินเดือนให้เป็นวันละห้าสิบบาท
เพราะเห็นว่ามีความรู้ จึงให้สอนหนังสือลูกสาวเถ้าแก่ที่รุ่นราวคราวเดียวกับน้อง
สอนหนังสือไป ก็อดคิดถึงน้องไม่ได้
ใครจะสอนหนังสือน้องนะ
ถ้าฉันไม่อยู่ตอนเปิดเทอม
อดคิดถึงตัวเองไม่ได้
ถ้าฉันไม่เรียนหนังสือ
ฉันจะต้องมาตัดเหล็กไปชั่วชีวิตหรือ
ฉันจะกินแค่ข้าวต้มกับยำกุ้งแห้งทุกเช้าหรือ
สามเดือนที่ทำงานในกรุงเทพฯ
ฉันเริ่มคิดหนัก ... จะกลับบ้านไปเรียนหนังสือต่อ หรือจะอยู่ทำงานที่นี่ต่อไป
เพื่อนๆ ก็พากันเขียนจดหมายมา
ให้กลับไปเรียนเถอะ...อีกปีเดียวก็จบแล้ว...
(ฉันเขียนจดหมายถึงเพื่อนบางคน ให้ไปบอกยาย ว่าไม่ต้องห่วงฉัน)
ข้อความในจดหมายของเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่ง
"ถึงนายจะหนีออกจากบ้านมาได้ แต่นายหนีความเป็นลูกไม่ได้"
ทำให้ฉันตัดสินใจได้

เถ้าแก่บอกว่า
ถ้าอยากทำงานก็ทำต่อไปได้สบายๆ
ถ้าอยากกลับไปเรียน ก็กลับไป
แต่เถ้าแก่บอกว่า
น่าเสียดาย
ถ้าวันนี้ลื้อมีปัญญาเรียน แล้วไม่เรียน

: :: ::: :::: ::: :: :

ฉันกลับมาบ้าน นั่งรถเมล์สีส้มกลับมา
ก้าวเดินเข้าบ้านที่เงียบเชียบ ไม่มีเสียงจักรเย็บผ้าของแม่ที่คุ้นเคย
แม่นอนอยู่บนเตียง
ตั้งแต่จำความได้ ฉันไม่เคยเห็นแม่นอนตอนกลางวันเลย
แม่มองฉัน แล้วพูดด้วยเสียงเรียบๆ
"กลับมาแล้วเหรอ"
"ฮื่อ" ฉันตอบห้วนๆ แล้วเดินไปหายายที่ลานหลังบ้าน
บ่ายๆ ยายชอบนั่งผึ่งลมที่นี่
ยายหลานสองคนกอดกัน ร้องไห้กันใหญ่

แม่หายดีและกลับมาเย็บผ้าได้เหมือนเดิมแล้ว
แต่ฉันไม่พูดกับแม่เลย ฉันจำไม่ได้ว่าอีกนานแค่ไหนกว่าที่ฉันจะพูดกับแม่
อาจจะหลังจากเพื่อนไม่อาจทนเห็นสภาพฉันกับแม่เป็นแบบนี้ก็ได้

เพื่อนมากระซิบกับฉันว่า..
แม่ฉันล้มป่วยตั้งแต่ฉันก้าวเท้าออกจากบ้านในวันนั้น !!


: :: ::: :::: ::: :: :

ในวันตรุษจีน
ประโยคหนึ่งที่แม่พูดเหมือนเดิมทุกปี
เหมือนกับว่าเรื่องนี้ติดอยู่ในใจของแม่ตลอดมา
"พวกลื้อจำไว้เลย อย่าได้เอ่ยปากไล่ลูกออกจากบ้านเด็ดขาด"

ผมขอโทษครับ..แม่

: :: ::: :::: ::: :: :

เรื่องนี้เรียบเรียงใหม่จากเอนทรีเก่า ๒ เรื่อง
- ความเห็นต่างระหว่างฉันและแม่...ฉันจึงเดินออกจากบ้าน
- นกเจ้าโผบิน


จากเรื่องเก่าใน www.oknation.net/blog/konto
วันพฤหัสบดี ที่ 15 กรกฎาคม 2553
Posted by คนโทใส่น้ำ , ผู้อ่าน : 4958

ปลายทางของความปรารถนาดี

ายหนุ่มกำลังก้มหน้าก้มตากินก๋วยเตี๋ยวเป็นมื้อเย็นอยู่ตอนที่รู้สึกว่ามีใครมายืนอยู่เบื้องหน้า
ยังไม่ทันที่เขาจะเงยหน้าขึ้นมอง "ใคร" ได้เต็มตา ก็มีเสียงตะโกนมาจากแม่ค้าก๋วยเตี๋ยว"อีบ้า ออกมานี่ อย่าไปกวนลูกค้า"แต่คนที่ยืนอยู่ข้างหน้าไม่ได้ขยับไปไหน แถมยังเอ่ยกับชายหนุ่มอีกว่า
"แก...ฉันหิวข้าว...ขอตังค์กินข้าว"

ชายหนุ่มมองหน้าคนที่อยู่ข้างหน้าเต็มตา
ถ้าไม่นับผมเผ้าที่เป็นสังกะตัง หน้าตา เสื้อผ้าสกปรกมอมแมม เล็บมือดำปี๋แล้ว
ต้องถือว่า หญิงสาวที่อยู่เบื้องหน้าเขามีโครงหน้าและรูปร่างดีพอสมควร
เขาคะเนดูผ่านคราบไคลที่ใบหน้า ผิวพรรณที่ยังไม่มีรอยเหี่ยวย่นและในบางจุดที่ไม่สกปรกนั้น
อายุของเธอน่าจะมากกว่าเขาแค่ไม่กี่ปี
"แก...ฉันหิวข้าว...ขอตังค์กินข้าว" เธอพูดซ้ำด้วยสุ้มเสียงเหมือนคนปกติทั่วไป

เขามองไปรอบๆ ตัว พบว่าไม่มีใครสนใจเขาและเธอ แม่ค้าก๋วยเตี๋ยวกำลังบริการลูกค้าคนอื่นอยู่
เขาเลยถามเธอว่า "กินก๋วยเตี๋ยวมั้ยล่ะ เดี๋ยวออกตังค์ให้ เอาเส้นอะไร"
"อีบ้า" พยักหน้าและชี้มาที่ชามก๋วยเตี๋ยวของเขา เขาจึงลุกขึ้นไปสั่งก๋วยเตี๋ยวให้เธอ
เขาเฝ้ามองเธอกินก๋วยเตี๋ยวชามที่สองอย่างตะกลาม
เขาถามอะไรเธอก็ไม่ตอบ เขาแบ่งน้ำที่สั่งมาให้เธอกินแก้วหนึ่ง เธอก็รับไปกินแบบไม่มีอาการเกรงอกเกรงใจ ไม่มีขอบใจ
"อีบ้า" กินชามที่สองหมด ซดน้ำหมดแก้ว แล้วก็ลุกเดินออกจากเต๊นท์ขายก๋วยเตี๋ยวไปหน้าตาเฉย

ตอนเขาเรียกแม่ค้ามาคิดเงินที่โต๊ะ เขาถามแม่ค้าเกี่ยวกับ "อีบ้า" แม่ค้าก็บอกว่า"มันมาป้วนเปี้ยนหลายเดือนแล้วล่ะ มาจากไหนก็ไม่รู้ แต่มีคนเห็นมันแอบไปนอนในศาลเจ้าท้ายตลาดนี่แหละ"
"ก็มีคนให้ตังค์มันบ้าง เพิ่งมีแต่คุณนี่แหละที่ให้มันนั่งกินด้วย...ฉันล่ะกลัวว่าอีกหน่อยมันจะมากวนใจลูกค้าฉันนะ"


...

ชายหนุ่มเดินอยู่บนสะพานที่ตอกจากไม้แผ่นเล็กแผ่นน้อยไปยังบ้านเช่าของเขาที่ท้ายตลาด
ชายหนุ่มเพิ่งมาเช่าบ้านที่นี่อยู่แค่ไม่ถึงอาทิตย์ คนขายแรงงานชายโสดอย่างเขา ที่ซุกหัวนอนแค่นี้ก็ดูราวกับราชวัง
ชายหนุ่มเดินผ่านศาลเจ้ารกร้าง ไม่มีผู้คนไปอีกเกือบ 200 เมตร ถึงรู้สึกตัวว่ามีคนเดินตามเขามา
ชายหนุ่มหันไปมอง "อีบ้า" ที่เดินอยู่เบื้องหลังประมาณ 10 ก้าว เขาหยุด "อีบ้า" ก็หยุด เขาเดิน "อีบ้า" ก็เดิน
ชายหนุ่มก็เลยเดินต่อจนถึงบ้านเช่าของเขา
ระเบียงแคบๆ หน้าบ้านติดทางเดิน เอาไว้นั่งกินข้าวและทำทุกอย่างนอกจากนอนและอาบน้ำ
เพราะว่าหลังบานประตูที่ล็อกกุญแจอยู่นั้นคือห้องแคบ 1 ห้องและห้องน้ำ 1 ห้อง
ชายหนุ่มไม่มีทรัพย์สินอะไร ไม่มีวิทยุ ทีวี ตู้เย็น พัดลม หม้อหุงข้าว ตู้เสื้อผ้า ไม่มีอะไรเลย 
เสื้อผ้าที่ซักแล้วเขาก็แขวนไว้กับราวไม้ ที่ยังไม่ซักก็อยู่ในตะกร้าใบเล็กๆ ตรงที่เขานอนมีเสื่อเก่าๆ ผืนหนึ่งกับหมอนเก่าๆ ใบหนึ่งแค่นั้นเอง

ระหว่างที่ชายหนุ่มไขกุญแจห้อง "อีบ้า" ก็มาหยุดยืนอยู่ตรงบันไดระเบียง
เมื่อไขเสร็จ ชายหนุ่มก็เลยไม่เข้าห้องแต่กลับนั่งตรงระเบียงแทน และตบที่ไม้กระดานข้างๆ ตัว บอก "อีบ้า" ว่า
 "มานั่งตรงนี้สิ""อีบ้า" เดินมานั่งข้างๆ เขาอย่างเงียบๆ แต่ไม่ว่าเขาจะถามอะไรที่เขาอยากรู้ เธอเป็นใคร มาจากไหน ทำไมเป็นอย่างนี้ นิ่งเงียบคือคำตอบของ "อีบ้า" มีเพียงสายตาที่ดูเลื่อนลอยสับสนของเธอเท่านั้นที่จ้องหน้าเขาเขม็ง

ถอนหายใจ...เขายอมแพ้...เขาไม่มีเวลามาเซ้าซี้กับเธอมากนัก สุดท้ายเลยลองเสนอความเห็นดู
"อยากอาบน้ำ อยากเปลี่ยนเสื้อผ้ามั้ย" เขามองดูเสื้อเชิร์ตมอซอกะรุ่งกะริ่งกับกางเกงขายาวเก่าขาดของเธอ... ผิดคาดของเขานัก เมื่อเธอพยักหน้า
เขาจึงลุกขึ้นนำเธอเข้าไปในห้อง เขาค้นหาเสื้อยืดเก่าแต่สะอาดที่แขวนอยู่กับกางเกงขาสั้นเอวยางยืดที่ดูแล้วเธอน่าจะใส่ได้ยื่นให้เธอ แล้วชี้ไปที่ห้องน้ำ

"อีบ้า" หอบเสื้อผ้าที่เขาส่งให้ แล้วเดินเข้าห้องน้ำไป เขาได้ยินเสียงเลื่อนกลอนประตู เขาจึงเดินออกมาสูบบุหรี่อยู่ที่ระเบียง
"แก..แก.." เขาได้ยิน "อีบ้า" ส่งเสียงเรียก จึงเดินเข้าไป เห็นเธอแง้มประตู โผล่หน้าออกมาเล็กน้อย "มาสระหัวให้หน่อย"
"ไม่เอาอ่ะ สระเองสิ เธอเป็นผู้หญิงนี่" เขาจะเข้าไปในห้องน้ำที่มีผู้หญิงอาบน้ำอยู่ได้อย่างไร...มันไม่สมควร
"มาสระหัวให้หน่อย" เสียงเหมือนคนเอาแต่ใจ แต่เปิดบานประตูให้กว้างขึ้น เขาจึงเห็นว่าเธออาบน้ำทั้งชุดที่เธอสวมมา ตอนนี้ชุดเปียกโชก เขาต้องรีบเบือนหน้าออกจากหน้าอกเธอเมื่อเห็นว่าเธอไม่ได้ใส่ยกทรง แต่เมื่อเบือนสายตามาที่หน้าของเธอ เขาต้องแปลกใจมาก ภายใต้ใบหน้าที่เคยมีคราบไคลนั้นขาวนวลเนียนอย่างคาดไม่ถึง

ชายหนุ่มจำใจเดินเข้าไป หยิบขวดแชมพูสระผมที่เธอยื่นส่งให้ เริ่มลงมือสระผมให้เธอที่ยืนหันหลังให้เขา
ชายหนุ่มสังเกตเห็นขณะสระผมว่าต้นคอของเธอก็ขาวนวลเนียนเหมือนใบหน้า และเมื่อเธอถูเนื้อถูตัวแล้วตักน้ำราดตัวจนน้ำดำๆ เริ่มจะใสแล้วนั้น เขาจึงเห็นว่าเธอเป็นคนผิวพรรณดีและเป็นคนสวยคนหนึ่ง
ชายหนุ่มต้องสระผมให้ "อีบ้า" ถึง 5 ครั้ง กว่าจะรู้สึกด้วยปลายนิ้วว่าผมของ "อีบ้า" เริ่มเหมือนผมของคนปกติ เมื่อสระครั้งสุดท้ายเสร็จเขาก็เดินออกจากห้องน้ำ ไปยืนสูบบุหรี่อีกมวนหนึ่งที่ระเบียง
เสียงประตูห้องน้ำเปิด ชายหนุ่มหันไปมอง ก็เห็น "อีบ้า" ที่ผิวพรรณสดใส ใส่เสื้อยืดกางเกงขาสั้นของเขา แน่ล่ะเธอไม่ได้สวมยกทรง เพราะมองด้วยตาเปล่าก็เห็นก้อนเนื้อที่หน้าอกไหวไปมาตามการเคลื่อนไหว
"อีบ้า" หอบเสื้อกางเกงชุดเก่าของเธอออกมาด้วยโดยไม่บิดน้ำ น้ำจึงหยดไหลเปรอะห้องเขาไปหมด เขายื่นมือจะรับผ้าในมือของเธอมาบิดให้ เธอก็เบี่ยงมือหลบเป็นท่าทีที่บอกเขาว่า "อย่ามายุ่ง"
"อีบ้า" เดินไปนั่งที่ระเบียง วางเสื้อผ้าเก่าของเธอไว้ที่ระเบียง เขาเดินไปนั่งข้างๆ พยายามถามคำถามที่เขาถามมาก่อนแล้ว แต่ไม่ได้คำตอบอะไร แต่ครั้งนี้เธอไม่ได้จ้องหน้าเขา สายตาเธอเหมือนมองดูอะไรไกลลิบๆ


"แก..แก..ขอตังค์" อยู่ๆ "อีบ้า" ก็พูดออกมา เขาเลยถามว่าจะเอาไปทำอะไร เธอพักอยู่ที่ไหน
"นอนศาลเจ้า" เธอตอบมา โดยไม่บอกว่าจะเอาตังค์ไปทำอะไร
ชายหนุ่มล้วงกระเป๋ากางเกง หยิบแบงก์ห้าสิบยับยู่ยี่ออกมาส่งให้เธอ
"อีบ้า" รับเงินแล้วลุกขึ้นเดินลงไปจากระเบียง
เขาร้องเรียก "เธอ..เธอลืมเสื้อผ้า" แต่ "อีบ้า" ไม่ได้หันกลับมาเลย


...

แสงแดดยามเช้าเร่งให้ชายหนุ่มรีบเดินจากบ้านออกไปปากซอย
ชายหนุ่มเดินเกือบจะถึงศาลเจ้าอยู่แล้ว ตอนที่เห็นคนมุงอยู่ในดงหญ้าริมสะพานไม้ เขาจำยอมก้าวเดินลงไปบนพื้นหญ้าเฉอะแฉะ ชะเง้อมองข้ามไหล่ของคนที่อยู่ข้างหน้า

ภาพที่เห็นทำให้หัวใจเขาดิ่งวูบ
ร่างที่นอนอยู่เบื้องหน้านั่นไม่ใช่ "อีบ้า" หรอกหรือ

แม้มีผ้าขาวปิดคลุมลำตัวท่อนบนและท่อนล่างก็รู้ว่าร่างนี้ถูกเปลือย

เสื้อยืดที่รัดคอเธออยู่นั่นไม่ใช่เสื้อยืดของเขาหรอกหรือ
กางเกงขาสั้นที่ถูกร่นลงมาอยู่ที่ข้อเท้าทั้งสองนั่นไม่ใช่กางเกงของเขาหรอกหรือ
ผมดำขลับที่สยายเต็มพื้นนั่นไม่ใช่ผมที่เขาสระให้เมื่อเย็นวานนี้หรอกหรือ

แว่วเสียงแม่ค้าก๋วยเตี๋ยวที่ยืนอยู่เบื้องหน้า
"โถ น่าสงสารอีบ้ามัน นี่ถ้ามันมอมแมมแบบเก่า ก็ไม่มีใครอยากไปทำกับมันแบบนี้หรอก...สิ้นเวรซะทีนะอีบ้าเอ๊ย"

เขาเบือนหน้าออกจากร่างที่นอนอยู่บนพื้น
ยกมือป้ายเช็ดน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม




เขียนครั้งแรกที่ www.oknation.net/blog/konto
วันศุกร์ ที่ 5 มิถุนายน 2552
Posted by คนโทใส่น้ำ , ผู้อ่าน : 3288