Sunday, December 6, 2015

หลายชีวิต ๒๕๕๐ - ภาคจบชีวิต ฯพณฯ แม้ว มั่งคั่ง (ลักสิน กินชะมัด)

เขียนครั้งแรก www.oknation.net/blog/konto
วันพฤหัสบดี ที่ 25 ตุลาคม 2550
หลายชีวิต ๒๕๕๐ - ภาคจบชีวิต ฯพณฯ แม้ว มั่งคั่ง (ลักสิน กินชะมัด)
Posted by คนโทใส่น้ำ , ผู้อ่าน : 276

 
          หลงจู๊แม้วได้รับตำแหน่งเป็นหลงจู๊ใหญ่อีกครั้งเป็นรอบที่สองด้วยการเป่ายิ้งฉุบชนะคู่แข่งอย่างขาดลอย ทำให้หลงจู๊มีความลำพอง ฮึกเหิมเป็นอย่างมาก คำเตือน คำทัดทานของสื่อมวลชนและนักวิชาการ กลายเป็นคำพูดขัดหู อะไรที่ใช้เงินฟาดหัวได้ก็ฟาดไป อะไรใช้เงินไม่ได้ก็ใช้อำนาจที่มีในมือทั้งบนดินใต้ดินเข้าขยี้ขย้ำออกอาการเศรษฐีเหลิงลมอย่างแท้จริง
 
          และแล้วจะเป็นบาป เป็นเคราะห์ หรือกรรมบันดาลก็แล้วแต่จะเชื่อกัน หลงจู๊แม้วที่คิดว่าไม่มีอะไรที่คนมีเงินและมีอำนาจอย่างเขาจะทำไม่ได้ ก็ได้แก้ขื่อแปของบ้านเมือง ด้วยการยอมให้คนต่างด้าวเข้ามามีส่วนในกิจการโทรคมนาคมได้ถึงครึ่งหนึ่ง จากเดิมที่มีส่วนได้เพียงเสี้ยวเดียว แถมต่างด้าวตึ๋งหนั่งเกี้ยที่ไหนจะมาเป็นใหญ่ในบริษัทกี่คนก็ไม่สนใจ เรียกว่าหลงจู๊แม้วปูทางสำหรับแผนในอนาคต (๒ วันข้างหน้า) ไว้เรียบร้อย
 
          เพราะถัดจากนั้นอีก ๒ วัน หลงจู๊ก็ขายหุ้นของตระกูลทั้งหมดให้บริษัทจากสิงคโปโตกเรียบร้อยโรงเรียนแม้ว โดยไม่สนใจว่าสิ่งที่ตัวเองขายน่ะไม่ใช่ของตัวเอง แถมเป็นความมั่นคงของแผ่นดิน และที่สำคัญหลงจู๊ไม่เห็นว่ามีความจำเป็นใดที่จะต้องให้เงินกระเด็นออกมาเป็นภาษีตามที่ควรจะเป็น นี่เป็นจุดเริ่มต้นที่หลงจู๊เริ่มจุดไฟที่กองฟอนโดยมีตัวเองนั่งอยู่บนเชิงตะกอน
 
          ถัดมาไม่กี่วันหลงจู๊ก็ทำการคว่ำกระดาน ให้มีการเป่ายิ้งฉุบใหม่ เพราะเหล่าจอมยุทธทั้งหลายเรียกร้องให้หลงจู๊ล้างมือในอ่างทองเหลืองไปซะแล้วต้องถูกสอบสวนเรื่องชั่วๆ ที่ก่อไว้มากมายด้วย แต่หลงจู๊ก็ยังไว้ลายเก๋าด้วยการกำหนดเงื่อนไขทุกอย่างให้ตัวเองได้เปรียบในการเป่ายิ้งฉุบ ทำให้จอมยุทธทั้งหลายไม่ยอมเล่นเป่ายิ้งฉุบด้วย หลงจู๊ก็ให้เหล่าม้าใช้ ไปจ้างจอมยุทธพเนจรทั้งหลายมาเล่นเป่ายิ้งฉุบแทน
 
          ถึงแม้จะประสบชัยในการประลองยุทธที่ลือลั่นแปลกประหลาดในประวัติศาสตร์บู๊ลิ้ม แต่ด้วยแรงกดดันมหาศาลจากเหล่าจอมยุทธคุณธรรมทั้งหลาย หลงจู๊แม้วมิอาจไม่ประกาศรับตำแหน่ง ต้องให้ลิ่วล้อคนหนึ่งขึ้นมารับเผือกร้อนเป็นการชั่วคราว ส่วนตัวหลงจู๊เองก็ร่อนเร่ไปเยือนหลงจู๊ต่างเผ่าต่างแดนเพื่อหาคนสนับสนุนตนเอง
 
          วาระสุดท้าย ขณะหลงจู๊แม้วไปร่วมประชุมดูเอ็น ที่ตนเองเคยบอกว่าไม่ใช่เตี่ยนั้น ขุนทัพทั้งหลายมิอาจทนต่อพฤติกรรมของหลงจู๊ ก็ได้ทำการยึดอำนาจหลงจู๊ เป็นอันสิ้นสุดอำนาจเหมือนกับผู้นำคลั่งอำนาจอีกหลายคนที่ต้องเคว้งคว้างอยู่ต่างแดน
 
          แต่คนอย่างหลงจู๊แม้วมีหรือจะยอมแพ้อะไรง่ายๆ เขาใช้เพลงมารทุกกระบวนท่าในการต่อสู้เพื่อหวนคืนสู่อำนาจ ทั้งอำนาจเงินก่อการภายใน ตีฆ้องร้องป่าวภายนอก การทำตัวให้เป็นข่าวอยู่ตลอดเวลา ซื้อทีมหมากเตะอั๊งม้อ ต่อท่อน้ำเลี้ยง แต่นับวันหลงจู๊จะอ่อนแรง เขาเริ่มรู้สึกว่ามีเงินใช่จะซื้อได้ทุกอย่าง
 
          สำนึกสุดท้ายของหลงจู๊...คือการกลับมาต่อสู้อย่างลูกผู้ชาย การกลับมาต่อสู้ภายใต้กฎเกณฑ์เหมือนอย่างที่คนดีๆ คนหนึ่งพึงกระทำ
 
          แต่อนิจจา...ชีวิตของหลงจู๊...ผิดมาทั้งชีวิต คิดจะทำสิ่งที่ถูกต้องสักครั้ง...ยังไม่มีโอกาส...หรือเป็นเพราะกรรมที่ได้ก่อไว้นั้น วิบัติถึงขั้นดินมิอาจเมตตา ฟ้ามิอาจให้อภัย
 
          สมบัติพัสถานที่กอบโกย โกงกินมา เอาไปได้เพียงที่เป็นเงินปากผี
 
          ร่างอันไร้วิญญาณของหลงจู๊ เหมือนคนนอนหลับธรรมดา ไม่มีคราบเลือด ไม่มีรอยไหม้ใดๆ เสื้อผ้าจะแหว่งวิ่นสักน้อยนิดก็ไม่มี  มีเพียงเส้นผมเท่านั้นที่เหลือเป็นหย่อมๆ จากอาการขี้กลากขึ้นหัว
 
หมายเหตุ
ควรบันทึกไว้ด้วยว่าหลงจู๊แม้วนั้นได้สร้างปรากฎการณ์ที่เป็นสีสันของบู๊ลิ้มไว้หลากหลายด้วยกัน อาทิเช่น
  • เป็นหลงจู๊ที่ผายลมออกอากาศในรายการ "หลงจู๊แหกตาประชาชน" ได้ต่อเนื่องยาวนาน
  • เป็นหลงจู๊ที่ร่ำรวยที่สุดที่เคยมีมา แต่จ่ายภาษีน้อยที่สุดที่เคยมีมาเหมือนกัน คือไม่จ่ายเลย
  • เป็นหลงจู๊ที่เดินตลาดอยู่ดีๆ ก็ถูกอาซ้อที่ขวัญเทียมฟ้าตะโกนไล่
  • เป็นหลงจู๊ที่สามารถจัดลำดับความสำคัญได้เก่งมั่กมั่ก "มณฑลไหนทำให้อั๊วเป่ายิ่งฉุบชนะ ก็ต้องได้รับการดูแลเป็นอย่างดีก่อนที่อื่น"
  • เป็นหลงจู๊ที่เคี่ยวเข็ญให้ชาวบ้านรู้จักภาษาอังกฤษทั่วหัวระแหง "No Vote" & "Vote No"
  • เป็นหลงจู๊ที่ทำให้อุตสาหกรรมสิ่งทอประเภทเสื้อเหลือง ผ้าพันคอ ผ้าโพกหัว ป้าย กล่องโฟมใส่ข้าว ขายดิบขายดี
  • เป็นหลงจู๊ที่ทำให้แก๊งที่สร้างมากับมือถูกสำนักมือปราบประกาศยุบแก๊งเป็นรายแรกในบู๊ลิ้ม
  • เป็นหลงจู๊ที่ทำให้ชนชั้นของคนในบู๊ลิ้มเหลือเพียงสองพวก คือ พวกกู กับ พวกมึง และทำให้สารถีขับควายไล่ชาวบ้านลงจากรถได้
  • เป็นหลงจู๊ที่ไม่มีรสนิยม ปากบอกชอบดอกไม้ ดันเขย่าต้นราชพฤกษ์หวังจะให้ดอกร่วง ขี้กลากเลยกินเต็มกบาล

หลายชีวิต ๒๕๕๐ - ภาคที่ ๒ ฯพณฯ แม้ว มั่งคั่ง (ลักสิน กินชะมัด)

เขียนครั้งแรก www.oknation.net/blog/konto
วันพุธ ที่ 24 ตุลาคม 2550
หลายชีวิต ๒๕๕๐ - ภาคที่ ๒ ฯพณฯ แม้ว มั่งคั่ง (ลักสิน กินชะมัด)
Posted by คนโทใส่น้ำ , ผู้อ่าน : 349



          Sin Cock ของนายแม้วเจริญรุดหน้าด้วยดำเนินธุรกิจ ให้เช่าคอมพิวเตอร์ วิทยุติดตามตัว โทรศัพท์เคลื่อนที่ ดาวเทียม เคเบิ้ลทีวี และโทรคมนาคมอื่นๆ ครบวงจร โดยมีเส้นสายทางการเมืองและทางครอบครัวภรรยาที่เป็นบิ๊กหมาต๋า

          ต่อมา นายแม้วได้ลาออกจากทุกตำแหน่งในบริษัท โดยเอาหุ้นไปซุกไว้ในจักแร้คนสนิทคือ ภรรยา ลูกชาย ลูกสาว และ คนรับใช้ เพื่อปกปิดบัญชีขุมทรัพย์ จากนั้นไม่นาน ก็ได้เป็นเสนาบดีบัวแก้วในสมัยมีดโกนชุบน้ำเชื่อม และในปีต่อมาเข้ารับตำแหน่งหัวหน้าแก๊งพลังฝาเข่งต่อจากท่านมหาจำเลือนและได้สะด๊วบตำแหน่งยี่หลงจู๊ ในสมัยปลาไหลใส่สเก็ต และได้สะเดิ๊บเป็นยี่หลงจู๊อีกในสมัยจิ๋วหวานจัง
 
          และในปีที่ประกาศลอยตัวค่าเงินสลึง ซึ่งมีผลทำให้เงินในมือของเราๆ ท่านๆ ทั้งหลายลดค่าเกือบเท่าตัวเมื่อเทียบกับสกุลลุงแซมโซรอส ทำให้บริษัทต่างๆ เจ๊งกันระนาวหรือไม่ก็เป็นหนี้หัวโต ใช้ไม่หมดมาจนบัดนี้ แต่เดชะบุญที่นายแม้วบำเพ็ญบารมีมาเกินทศชาติ  Sin Cock ของเขาไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใดเพราะมีการซื้อประกันความเสี่ยงในอัตราแลกเปลี่ยนล่วงหน้า

          ทั้งนี้ยายเมี้ยน ยายแม้น เฒ่าโพล้งวิจารณ์กันลั่นร้านกาแฟว่า ไอ้แม้วมันมีอินไซด์ นอกจากไม่เจ็บตัวแล้วยังรวยขึ้นอีกพะเรอเกวียน”  แต่นายแม้วปฏิเสธลั่นและอ้างมันเป็นซิกส์เซ้นส์เดจาวู แต่หลังจากนั้นไม่นาน นายแม้วก็ใช้ทุนส่วนตัวมาตั้งแก๊ง ทรท. (ไทระทวย) และสถาปนาตัวเองเป็นปังจู๊หัวหน้าแก๊งในที่สุด และชนะการเป่ายิ้งฉุบได้เป็นหลงจู๊ใหญ่สมความปรารถนา

          พอเริ่มได้เป็นหลงจู๊ใหญ่ นายแม้วก็ได้สำแดงพลังฝีมือ “มีเงินใช้ผีโม่แป้ง” ทันที เพราะคนดีๆ เขาเห็นกันว่าการเอาขุมทรัพย์ไปซุกในจักแร้คนอื่นนั้นมันขัดกับขื่อแปของบ้านเมือง  จึงส่งให้ศาลที่ไม่ใช่ศาลไคฟง และไม่ใช่เปาบุ้นจิ้นพิจารณา และมีมติพิพากษา ด้วยคะแนนเสียง 800 ต่อ 700 ให้นายแม้วพ้นผิดแบบ "บกพร่องโดยหน้าซื่อตาใส"  แถมยังมีบางท่านเห็นว่านายแม้วนั้นไม่ถือว่าเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางหลงจู๊ด้วย,
          “ขากถุย!!! แมร่งโดนตุ๋ยไปหลายอัฐละสิท่า”เฒ่าโพล้งขากพลางสบถดังลั่นทันทีที่ฟังประกาศทางวิทยุ

          ความเลวยังไม่ทันพ้นเหว ความเลวกว่าก็เข้าแถวมาเป็นพรวน หลงจู๊แม้วถูกกล่าวหาเกี่ยวกับการใช้กำลังภายในจากจุดคีมึ้ง ทำทุกอย่างให้กงสีของครอบครัวเซ็งลี้ฮ้อ ส่วนคู่แข่งก็เดี้ยงไปเองโดยไม่ทราบสาเหตุ เข้าใจว่าถูกธาตุไฟเข้าแทรก โดยเฉพาะอะไรที่เกี่ยวข้องกับสัมภทานจากรัฐ เป็นอันเสร็จหลงจู๊และเหล่ายอดฝีมือในสำนัก ทรท.ทั้งสิ้น

          จริงๆ แล้วหลงจู๊แม้วเป็นคนเก่ง มีกึ๋นมีเซี่ยงจี๊ ตามที่มีแววมาแต่เด็กๆ เพียงแต่ความเก่งกับความดีเป็นคนละเรื่องกันเขาจึงคิดค้นกับดักต่างๆ ขึ้นมาเหมือนนายพรานดักแร้วเพื่อจับสัตว์ เพียงแต่เหยื่อของเขาไม่ใช่สัตว์ แต่เป็นชาวบ้านตาดำๆ ที่เคยเจียดเงินส่งเขาเรียนจนจบด็อกเตอร์มานั่นเอง
 
           (เวรกรรมคงมีจริงความหัวดีของเขาไม่ได้ถ่ายทอดมาทางลูกเลย มีลูกชายก็ทึ่มขนาดว่าเอาโพยเข้าห้องสอบก็ดันโง่ให้กรรมการคุมสอบจับได้ ทีนี้พอมาถึงลูกสาวสอบบ้างจะใช้วิธีเดิมก็กลัวกรรมการลำบากใจ เลยใช้วิธีขอข้อสอบมาให้ลูกอ่านเล่นก่อนสอบดื้อๆ ซะนี่ ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้หลงจู๊แม้วคิดว่าเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องดีเรื่องงามตัวเองทำแล้วไม่ผิด)
 
          กับดักของหลงจู๊ ทำให้ชาวบ้านไหลหลง ฟุ้งเฟ้อ ฟุ่มเฟือย ขาดความรับผิดชอบ ชอบของฟรี รอของถูก เพราะเป็นหนี้ก็ไม่ต้องใช้ เจ็บไข้ก็มีบัตรทอง จะซื้อบ้านก็มีคนมาอาทร จะขายของก็มี Oh!top จะเสี่ยงโชคก็มีหวยบนดินขายทั่วบ้านทั่วเมือง นี่ถ้าไม่มีใครมาขวางหน้าเรื่องเปิดบ่อนกาสิโน หลงจู๊แม้วคงเดินหน้าแน่นอน กับดักทั้งหมดนี้ในปัจจุบันไปไม่รอด เพราะมีแต่เรื่องที่รัฐต้องหาเงินมาทั้งนั้น ไหนจะเงินมาทำโครงการ ไหนจะเงินค่าเก๋าเจี๊ยะ ที่เหล่ายอดฝีมือตั้งไว้ก่อนฝ่าด่านอีก แต่ชาติล่มจมก็เป็นเรื่องของชาติ ส่วนหลงจู๊แม้วนั้นชาวบ้านรักเป็นนักหนา ร้องเรียกเหมียวๆ เดี๋ยวก็มา เคล้าแข้งเคล้าขาน่าเอ็นดู

          หลงจู๊แม้วนั้นเป็นคนชอบเสนอเงื่อนไขเงื่อนเวลา ประเภททำเอง ตั้งเอง แก้เอง ประกาศเอง เช่น ปราบปรามผู้ค้ายาเสพติด ก็หน้าด้านประกาศว่าผู้ค้ายาสูญพันธุ์ไปจากบ้านเมืองแล้ว ท่ามกลางเสียงหัวร่อกระหึ่มเมืองของคนค้ายา แถมมีการพูดถึงการฆ่าตัดตอนไม่ให้สาวไปถึงผู้ค้ารายใหญ่ตัวจริงด้วย ข่าวว่าเจอศาลเตี้ย ตายไปหลายพันคน

          แต่บุญกุศลที่หลงจู๊แม้วทำไว้ที่คนเสียภาษีอย่างเราไม่ลืมก็คือ การลดภาษีค่าสัมภทานให้กับกงสีในเครือ Sin Cock ลดค่าสัมภทานค่าเช่าคลื่นความถี่ให้กับบริษัท กูทีวี (มหาชน) จำกัด นี่ยังไม่ต้องพูดถึงที่พาพรรคพวกเข้ามากินบุพเฟ่ต์แห่งชาติกันปากมัน รวมถึงดันญาติโกโหติกามาเป็นใหญ่เป็นโต แบบคนที่เขาสมควรจะได้ต้องนั่งทำตาปริบๆ
ลองมาดูลมที่ผายออกมาของหลงจู๊แม้วในวาระแรกกัน

          "เคี้ยก เคี้ยก มีการพูดกันว่า ถ้าให้อั๊วเป็นหลงจู๊ก็อยู่ไม่พ้นเทศกาลชุนเทียน ฝันไปเถอะ ชาติหน้าตอนบ่ายๆ เพราะอั๊วเข้ามาทำงาน ไม่ได้เข้ามาโกง ไม่ได้เข้ามากิน จะลาออกไปทำไม และก็ไม่ยอมให้ใครโกงด้วย อั๊วเข้ามาแก้ไขปัญหา จึงหวังว่าการเป่ายิ้งฉุบครั้งนี้ พวกลื้อจะช่วยเลือกแก๊งไทระทวยของอั๊ว พอกันทีที่จะให้คนไปเลือกพวกคนเมืองเพื่อไปยกมือเลือกคนแดนใต้เป็นหลงจู๊”
 
          "พวกลื้ออย่ามาห่วง ไอ้พวกดูเอ็นไม่ใช่เตี่ยอั๊ว”

หลายชีวิต ๒๕๕๐ - ภาคที่ ๑ ฯพณฯ แม้ว มั่งคั่ง (ลักสิน กินชะมัด)

เขียนครั้งแรก www.oknation.net/blog/konto
วันจันทร์ ที่ 22 ตุลาคม 2550
หลายชีวิต ๒๕๕๐ - ภาคที่ ๑ ฯพณฯ แม้ว มั่งคั่ง (ลักสิน กินชะมัด)
Posted by คนโทใส่น้ำ , ผู้อ่าน : 311


 
          แหล่งข่าวจากศูนย์บังคับการบินเปิดเผยว่า เสียงในเทปที่ได้จากกล่องดำนั้น ช่วงท้ายของเทปมีเสียงของนายแม้ว มั่งคั่งตะโกนลั่นว่า “ศูนย์บังคับฯ ไม่ใช่พ่อ ไม่ต้องไปฟังมัน” หลังจากศูนย์แจ้งให้นักบินทราบว่าไม่ควรนำเครื่องบินลงเพราะทัศนวิสัยไม่ดี และเสียงสุดท้ายที่ได้ยินก่อนจะเป็นเสียงระเบิดของเครื่องบินคือ “โธ่ ไอ้นักบินกระจอก” ซึ่งแหล่งข่าวกล่าวตบท้ายว่า “สงสัยนายแม้ว จะเข้าไปสั่งการเองถึงในห้องนักบิน” เพราะศพของนายแม้ว ก็เก็บมาจากห้องนักบิน

          นายแม้ว มั่งคั่ง ชื่อนี้ทุกคนรู้จักดี เพราะเขาคือ นายกรัฐมนตรีคนที่ ๕๐๐ แห่งประเทศนี้ จริงๆ แล้ว “แม้ว” เป็นฉายาที่เพื่อนร่วมเรียนอนุบาลเหลี่ยมจ๋าตั้งให้ ส่วน “มั่งคั่ง” นั้น เป็นฐานันดรที่เรียกขานกันตามฐานานุรูป ก็เหมือน “เศรษฐีฮิ่ม” ที่ชาวบ้านมักจะเรียกตามฐานานุรูปว่า “นายฮิ่ม ผู้มีทรัพย์” เพราะเรียกเศรษฐีฮิ่ม แล้วจั๊กจี้ชอบกล

          ชื่อตามทะเบียนบ้านของนายแม้วคือ “ลักสิน กินชะมัด” แต่เขาเองเห็นว่าชื่อนามสกุลจริงมันบอกตัวตนของตัวเองตรงไปหน่อย เขาจึงพอใจให้ทุกคนเรียกตัวเองว่า “นายแม้ว” ยกเว้นนักวิชาการเสื้อกั๊ก “ขาประจำ” ที่นายแม้วไม่พอใจให้เรียกเพราะไปเรียกเขาว่า “แม้ว จ๊กมก”

          เด็กชายแม้วนั้นเป็นเด็กเรียนเก่ง ฉลาดเป็นกรด มีหัวค้าขายมาตั้งแต่เด็ก จนเป็นที่กล่าวขานกันทั้งย่านบ้านเกิด ขนาดที่ว่าตอนจบชั้นอนุบาล ครูใหญ่เจ้าของโรงเรียนถอนหายใจเฮือกด้วยว่ากลัวเด็กชายแม้วจะไปทำสัญญาขายกระดานดำ โต๊ะ เก้าอี้ ให้กับโรงเรียนอื่น

          ด้วยความเป็นคนหัวดี ไม่มีปัญหาเรื่องการศึกษาเด็กชายแม้วก็ได้ศึกษาจนจบหลักสูตรโรงเรียนโปลิศจับขโมย และได้รับทุนการศึกษาที่มาจากเงินภาษีของชาวบ้านตาดำๆ ที่ต่อมาเขาเรียกว่าเป็นพวก “รากหญ้า” ลงเรือสำเภาไปเรียนต่อถึงเมืองลุงแซม จบปริญญาโทสาขาขบวนการตราชูตราชั่ง ที่มหาวิทยาลัยเคนตั๊กกี้ ฟรายด์ชิกเก้น ซึ่งที่นี่เองเขาได้พบกับคู่ชีวิต คือคุณพจมารสังวาลเพชร ที่เคยจีบกันมาตั้งแต่เมืองไทยแล้ว ทำให้เขามีกำลังใจเรียนจนจบมาเป็นด็อกเตอร์ที่มหาวิทยาลัยแซมซั่นสิงห์อิสาน

          เรียนจบมาแล้ว นายแม้วก็มาเป็นหมาต๋า และทำธุรกิจควบคู่กันไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นขายผ้าผวย ฉายหนังเร่ ทำคอนดอม แต่ทุกอย่างล้มเหลวสิ้นท่า หมดลายเด็กที่มีหัวการค้า ทำให้เป็นปมในใจว่า “ถ้าคนเก่งอย่างกูค้าขายแล้วยังมีหนี้สินล้นพ้นตัว ต่อไปนี้กูจะไม่แข่งกับใครแล้ว” เขาจึงลาออกจากราชการ

          หามิได้!!! เขาไม่ได้ตั้งหน้าตั้งตาทำการค้าแข่งกับคนอื่นๆ แต่เขาทำธุรกิจแบบ “กินรวบ” คือมุ่งหน้าทำแต่ธุรกิจที่ผูกขาดแบบกิน “สัมภทาน”* ซึ่งทำให้เขาสามารถปลดหนี้ปลดสินได้และเริ่มต้นอาณาจักร Sin Cock  ของเขาจนลือลั่นไปทั่วไตรภูมิ

*คำเต็มคือ "สัมภเวสีรับประทาน"

หลายชีวิต ๒๕๕๐ - (บทนำ) ฟ้าลิขิตหรือกรรมบันดาล

เขียนครั้งแรก www.oknation.net/blog/konto
วันจันทร์ ที่ 15 ตุลาคม 2550
หลายชีวิต ๒๕๕๐ - (บทนำ) ฟ้าลิขิตหรือกรรมบันดาล
Posted by คนโทใส่น้ำ , ผู้อ่าน : 299

 
          สายฝนโหมกระหน่ำเหนือฟ้ามหานครฝั่งตะวันออกในยามดึก สายฟ้าแลบแปลบปลาบ เสียงฟ้าร้องครืนครั่นเหนือพื้นที่หนองงูแมวเซาในอดีต ผู้คนในอาคารสนามบินต่างรู้สึกใจสั่นกับเสียงคะนองของฟากฟ้าที่ดุดันเกินปกติ
 
          กัปตันผู้กำลังเคร่งเครียดกับสายฟ้าและพายุ  วิทยุติดต่อกับศูนย์ควบคุมการบินและตัดสินใจว่าจะนำเครื่องลงให้ได้ เพราะนี่เป็นเที่ยวบินเกียรติยศของเขา ผู้โดยสารทุกคนในเที่ยวบินนี้เป็นผู้มีชื่อเสียงทั้งสิ้น เขาจะพยายามสุดฝีมือสำหรับเสียงปรบมือของผู้โดยสารเมื่อเครื่องบินนิ่งสนิทในลานจอด
 
          เครื่องบินเริ่มลดระดับลง ระบบลงจอดอัตโนมัติเริ่มทำงาน ฐานล้อเครื่องบินเริ่มกาง ทุกอย่างเป็นไปด้วยดีไม่มีอะไรผิดพลาด จนเข้ามาถึงรันเวย์ ล้อเริ่มแตะพื้น
 
          เสียงผู้โดยสารในเครื่องหวีดร้อง เมื่อเครื่องกระแทกพื้นอย่างรุนแรงเหมือนเครื่องบรรทุกมาด้วยกรรมอันใดที่หนาหนัก  เครื่องกระดอนขึ้นแล้วเอียงวูบ เสียงข้าวของหล่นจากชั้น เสียงคนร้องกันระงม บ้างสบถสาบาน บ้างสวดมนต์ บ้างบนบานสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พร้อมกับมีเสียงระเบิดที่ตอนหน้าของเครื่องบินฉับพลันทันทีกับควันที่ทะลักออกมาเต็มเครื่อง
 
          บรรดาผู้คนที่อยู่ในสนามบิน ต่างได้ยินเสียงดังสนั่น ภาพที่ทุกคนเห็นคือเครื่องบินลงมากระแทกรันเวย์จนล้อหักกระจาย ตัวเครื่องไถลออกนอกรันเวย์แล้วหัวทิ่มกระแทกพื้นจนขาดสองท่อนพร้อมกับเสียงระเบิดและมีไฟลุกท่วมลำ สักครู่เสียงไซเรนก็ดังระงมสนามบิน
 
          ฝนหยุดเม็ดแล้วในยามเช้าที่ฟ้าใสสว่างจ้าอย่างที่ไม่เคยมีใครเห็นมาก่อนในรอบหลายๆ ปี เจ้าหน้าที่กู้ภัยค่อยๆ ลำเลียงร่างไร้วิญญาณออกมาจากซากเครื่องบินที่พังยับเยิน ไม่มีผู้รอดชีวิตเลยแม้แต่กัปตันและลูกเรือ เครื่องบินนี้เป็นเครื่องเช่าเหมาลำพิเศษ บินมาจากกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ผู้โดยสารระดับอภิมหาเศรษฐี นักการเมือง ผู้มีชื่อเสียงและผู้ร่วมเที่ยวบินคนอื่น ถูกนำมาวางเรียงกันในห่อผ้าขาว
 
          ถึงที่สุดแล้ว ทุกคนก็มาถึงซึ่งความจริงของชีวิต ไม่ว่ายากดีมีจนอย่างไรก็หนีไม่พ้นความตาย เป็นมหาเศรษฐี ร่ำรวยล้นฟ้า มีทรัพย์สินมากเท่าใด สุดท้ายก็ต้องการที่นอนยาววากว้างศอกเท่านั้น
 
          สายลมที่พัดพลิ้วด้วยว่าอยู่ในที่โล่งกว้าง พัดให้ผ้าขาวเปิดเห็นบางใบหน้าของศพที่มีดวงหน้าตระหนกสุดขีดดังเห็นยมบาลมาทวงกรรมที่ได้ก่อต่อหน้าต่อตา
 
          แต่เป็นกรรมอันใดเล่า ที่บันดาลให้คนที่เกิดต่างเวลา ต่างภูมิลำเนากัน มาจบชีวิตในเวลาเดียวกัน ในที่เดียวกัน มาประสบเคราะห์กรรมพร้อมๆ กัน *ซึ่งนับว่าเป็นเคราะห์อันหนัก แต่ละชีวิตจะเคยประกอบกรรมอันร้ายแรงมาเหมือนกันหมดทีเดียวหรือ? ดูไม่น่าจะเป็นไปได้ ทางที่ดีเราควรจะศึกษาชีวิตเหล่านี้ทีละชีวิต บางทีจะรู้ได้ว่ากรรมอันใดบันดาลให้เป็นไปเช่นนั้น บางทีเราอาจรู้ว่าความตายที่มาถึงคนเหล่านั้นพร้อมกันนั้น สำหรับบางคนอาจเป็นผลสนองตอบแทนความชั่วบางอย่าง บางคนอาจเป็นผลสนองความตั้งใจและความปรารถนา และบางคนอาจเป็นเพียงทางออกหรือมิฉะนั้นอาจะเป็นแค่เพียงจุดจบในประโยคชีวิตที่ยืนยาว แต่ละชีวิตที่จะบรรยายต่อไปนั้น เป็นคำตอบอันกระท่อนกระแท่นที่มนุษย์ธรรมดาสามัญ ผู้มิใช่พรหมจะให้แก่กันได้เท่านั้นเอง*
 
หมายเหตุ๑. ในเครื่องหมายดอกจัน เป็นสำนวน ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช จากเรื่อง “หลายชีวิต”

มิยูกิที่รัก ตอนที่ 6 จดหมายฉบับแรกจากมิยูกิ (จบ)


ผมนั่งอยู่ที่หน้าต่างกระจกใสบานนั้น นั่งเฝ้าดูเครื่องบินลำที่มีมิยูกิอยู่ข้างใน ใจคอไม่อยู่กับเนื้อกับตัว คิดถึงหน้าเธอตลอดเวลา คิดถึงทุกโมงยามที่อยู่ด้วยกัน น้ำตาพานไหลออกมาจนต้องเอามือปาดอยู่ตลอดเวลา
 
เครื่องบินลำนั้นเริ่มเคลื่อนออกไปแล้ว...ขึ้นไปแล้ว...ใจผมหวิววาบเหมือนถูกบีบ..บีบ จนรู้สึกเจ็บอยู่ข้างใน ...นี่ผมจะมีชีวิตอยู่โดยไม่มีเธอได้หรือ… ผมยังนั่งมองฟ้าตรงตำแหน่งเครื่องบินลับตาไปอีกเป็นชั่วโมง
 
กลับถึงบ้านผมลงมือเขียนจดหมายถึงเธอทันที โดยไม่รู้ว่าเขียนอะไรไปบ้าง เหมือนกับใจสั่งมาให้เขียนโดยไม่ต้องคิด ปิดซองติดแสตมป์แล้วตั้งใจว่าพรุ่งนี้เช้าจะเอาไปส่งพร้อมกับเอกสารที่สำนักงาน
 
เกือบตีสามแล้วตอนที่ผมเข้านอน แต่นอนไม่หลับ ใจกระวนกระวายอย่างไรชอบกล สุดท้ายลุกขึ้นหยิบซองจดหมายที่เขียนไว้แล้วเดินไปหย่อนตู้ไปรษณีย์หน้าปากซอย ราวกับว่าไปรษณีย์จะมาไขตู้เสียเดี๋ยวนั้นเลย
 
ผ่านไปเจ็ดวัน ผมก็เขียนจดหมายไปอีก ผ่านไปอีกเจ็ดวันผมก็เขียนจดหมายไปอีก
 
หนึ่งเดือนแล้วนับแต่จากกัน ยังไม่มีวี่แววจดหมายตอบกลับ ผมถามหาจดหมายจากแม่บ้านที่สำนักงานทุกครั้งที่เจอหน้าจนเธอไม่ค่อยมาให้ผมเห็นหน้าดังเคย ผมยังเขียนจดหมายทุกๆ 3 วันบ้าง 7 วันบ้าง แต่ไม่มีจดหมายตอบกลับมาเลย
 
ตลอดเวลาผมเช็คข่าวต่างประเทศจากทีวี จากหนังสือพิมพ์ นิตยสาร แต่ไม่มีเหตุการณ์ร้ายแรงอะไรเกิดขึ้น หรือเธอไม่สบาย? หรือเธอประสบอุบัติเหตุแต่ไม่เป็นข่าว? สารพัดที่ผมจะคิด แต่ทุกอย่างเงียบเหมือนสายลม เธอไปแล้วไปลับ
 
เข้าเดือนที่สองเพื่อนๆ ที่สำนักงานเห็นอาการของผมที่เหมือนหมาบ้าถูกขัง ทำงานทั้งวันไม่พูดไม่คุยกับใคร ก็ชวนผมไปนั่งฟังเพลงบ้าง ดื่มเหล้าบ้าง ก็ไม่ได้ทำให้ผมดีขึ้นเลย กลับกลายเป็นว่าทุกครั้งที่ดื่มเหล้าผมก็จะดื่มไม่ยั้ง ดื่มจนไม่ได้สติ เพื่อนๆ ต้องพามาส่งบ้านทุกครั้ง ผมเป็นอย่างนี้อยู่นานหลายเดือน เพื่อนๆ ชักจะไม่มาชวน ผมก็เป็นฝ่ายชวนเสียเอง แต่เพื่อนๆ ก็จะติดธุระกันตลอด ผมก็ไปดื่มคนเดียว
 
แต่ผมยังเขียนจดหมายทุกๆ สัปดาห์...และยังไม่มีจดหมายตอบกลับมาเลย
 
เช้ามืดวันเสาร์หลังจากผ่านไปปีกว่าๆ ผมโซเซเดินสวนกับพระที่มาบิณฑบาต เปิดประตูบ้านเข้าไป เห็นพ่อนั่งอยู่ที่ชุดรับแขก ผมก็เดินเข้าไปทักพ่อ

“ตื่นแต่เช้าเชียวนะพ่อ”

“พ่อยังไม่ได้นอนเลยลูก พ่อรอลูกอยู่น่ะ พ่อมีเรื่องสำคัญจะคุยกับลูกน่ะ นั่งลงสิ”

ผมนั่งลงตรงข้ามกับพ่อ ผมเพิ่งเห็นว่าพ่อมีน้ำตาอาบสองแก้มด้วย ผมตกใจมาก

“พ่อเป็นอะไรหรือเปล่าครับ”

“พ่อไม่เป็นไรหรอก แต่พ่ออยากรู้ว่าลูกน่ะเป็นอะไร พ่อเป็นห่วงลูกมากนะ รู้มั้ย”

“ผมไม่เป็นไรหรอกพ่อ”

“ไม่เป็นอะไร แล้วทำไมถึงทำตัวอย่างนี้ พ่อรู้นะว่าเป็นเพราะผู้หญิงญี่ปุ่นคนนั้น เอ่อ..ที่ชื่ออะไรนะ มิยูกิใช่มั้ย”

ผมก้มหน้าไม่พูดอะไร พ่อก็เลยพูดต่อ
“ลูกรักเขามากใช่มั้ย ลูกมีที่อยู่เขานี่ ลูกจะไปหาเขามั้ย ลูกจะเอาเงินเท่าไหร่ พ่อจะให้ ไปหาเขาให้เจอ ไปพาเขากลับมาอยู่ด้วยกัน”

“ไม่หรอกครับ ผมไม่กล้าไป”

“ทำไมล่ะ”

“ผมกลัวว่าจะไปพบว่าเธอไม่รักผมแล้ว หรือแต่งงานแล้ว หรือไม่ก้อเธอ..ตายไปแล้ว”

“ลูกอย่าใช้การคิดไปเองมาทำให้กลัวขนาดนั้น ถ้าลูกไม่กล้า ลูกก็ควรจะเปลี่ยนแปลง”

“เปลี่ยนยังไงล่ะพ่อ”

“ลูกต้องอยู่เหมือนกับว่ามีเธออยู่ข้างๆ ใช้ชีวิตมีความสุข ไม่สำมะเลเทเมาอย่างงี้ ไม่มีผู้หญิงคนไหนจะรักผู้ชายอ่อนแอหรอกนะลูก”
ผมนั่งก้มหน้านิ่ง

“ทุกครั้งที่ลูกเมากลับมา พ่อเห็นแล้วต้องร้องไห้ทุกที พ่อสงสารลูก แต่สงสารมันไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นมาได้หรอกนะ พ่อสั่งห้ามไม่ให้เพื่อนๆ ที่ออฟฟิศชวนลูกไปกินเหล้าเด็ดขาด พ่อให้คนตามไปเฝ้าลูกทุกครั้งที่ลูกไปกินเหล้า ตอนนี้ลูกทำให้หลายๆ คนเดือดร้อนไปกับลูกแล้วล่ะ นี่จะช่วยให้ลูกคิดอะไรได้บ้างหรือยัง”

ผมนิ่งไปอีกนาน ก่อนจะบอกพ่อ “พ่อ ผมอยากบวช”

“อย่าเลยลูก ถ้าใจของลูกยังเป็นแบบนี้ บวชไปก็เสียผ้าเหลือง ถ้าลูกไม่เห็นแก่พ่อ ก็เห็นแก่แม่เถอะ เลิกดื่มเหล้านะลูก สัญญากับพ่อได้มั้ย ”

ผมเห็นหน้ามิยูกิลอยมา ผมเห็นหน้าแม่ของผมลอยมา ก่อนจะอ้อมแอ้มตอบพ่อ

“ครับ ผมสัญญา”
 
:: :: :: :: ::
 
ผมกลับมาเป็นคนเดิมได้หลายเดือนแล้ว เพียงแต่ผมพูดน้อยลง ทำงานมากขึ้น และผมยังเขียนจดหมายอยู่เหมือนเดิม
 
จนกระทั่งวันนี้มีซองพัสดุส่งมาถึงผม ซองสีน้ำตาลใหญ่ เขียนด้วยลายมือภาษาอังกฤษ ติดแสตมป์รูปดอกซากุระ ผมฝากงานที่คั่งค้างกับเพื่อนแล้วออกจากสำนักงานพร้อมด้วยซองนั้นทันที
 
...ที่สวนลุมพินี ใต้ร่มไม้ริมน้ำที่ผมเคยนั่งอยู่กับมิยูกิ…
 
ผมแกะซองสีน้ำตาล มีรูปขาวดำปึกใหญ่ เป็นรูปที่ผมถ่ายคู่กับมิยูกิบ้าง รูปเดี่ยวของมิยูกิบ้าง รูปเดี่ยวของผมบ้าง รูปสุดท้ายเป็นรูปขาวดำ ไม่ใช่รูปของผมหรือมิยูกิ แต่เป็นรูปของเด็กหญิงหน้าตาน่ารัก น่าเอ็นดู..และยังมีซองจดหมายลายดอกซากุระอีกซองหนึ่ง
 
...เธอไม่รักผมแล้ว เธอลืมผมแล้ว เธอแต่งงานกับชายคนอื่นแล้ว..แล้วเธอยังจะขยี้หัวใจผมให้แหลกเหลว ด้วยการส่งรูปลูกสาวเธอมาให้ผมดู เธอยังจะเขียนจดหมายมาเยาะเย้ยผม….
 
ผมสองจิตสองใจจะเปิดจดหมายดู หรือจะฉีกทิ้งเสียเดี๋ยวนี้
แล้วผมก็เปิดจดหมายด้วยมือที่สั่นอย่างควบคุมไม่ได้
:: :: :: :: ::
 
:: :: ::จบบริบูรณ์ :: :: ::

เขียนครั้งแรก www.oknation.net/blog/konto
วันศุกร์ ที่ 10 ตุลาคม 2551
มิยูกิที่รัก (6) จดหมายฉบับแรกจากมิยูกิ..จบบริบูรณ์
Posted by คนโทใส่น้ำ , ผู้อ่าน : 2693

มิยูกิที่รัก ตอนที่ 5 จดหมายฉบับสุดท้ายของมิยูกิ


รุ่งขึ้น เราไม่ได้ออกไปไหนเลย เราใช้ชีวิตกันเหมือนคู่ฮันนี่มูนที่เพิ่งแต่งงานกัน มีแต่ความหวานชื่นเรานั่งคุยนอนคุยกันถึงชีวิตของกันและกันอย่างไม่รู้เบื่อ

วันต่อมาเราไปวัดเบญจมบพิตร เสร็จแล้วไปถีบเรือในเขาดิน ตอนเย็นมานั่งเล่นที่สวนลุมพินี พอค่ำๆ เราก็กลับเข้าโรงแรม

อีกวันหนึ่งเราก็ขับรถไปบางแสน นั่งกินอาหารกันริมทะเล ผมยุให้เธอใส่ชุดว่ายน้ำลงเล่นน้ำทะเล แต่เธอบอกว่าเธอชอบดูทะเลมากกว่าเล่นน้ำทะเล เรากลับมาถึงโรงแรมตอนค่ำๆ

เราเหมือนคู่รักคู่หนึ่งซึ่งคบกันมานานเป็นปีๆ ทั้งที่เราเพิ่งพบกันแค่หกวัน ตอนสายวันที่เจ็ดเราไปหาซื้อของที่ประตูน้ำและห้างไทยไดมารู ราชดำริ แล้วก็กลับมาโรงแรมตอนบ่าย นัวเนียคลอเคลียกันตั้งแต่บ่ายจนถึงเช้าวันสุดท้ายที่มิยูกิจะอยู่ที่เมืองไทย

ตอนที่เราอาบน้ำให้กันและกันนั้น มิยูกิร้องไห้ออกมาเฉยๆ และกอดผมไว้ ไม่มีเสียงพูดใดจากเราสองคน สรรพเสียงทั้งโลกล้วนเงียบสงัด มีเพียงเสียงหัวใจของเราที่ร่ำร้องบอกต่อกัน ...ฉันรักเธอ ฉันรักเธอ...

ผมไปส่งมิยูกิที่ดอนเมืองตอนสี่ทุ่ม เรากอดและหอมแก้มกันอย่างไม่ต้องอายใคร น้ำตาของผมคลอเบ้า ในขณะที่มิยูกิร้องไห้น้ำตาเป็นทางสองข้างแก้ม ผมเพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่าผมรักเธอมากกว่าที่ตัวเองรู้ หัวใจของผมหวิวๆ กลัวว่าจะไม่ได้พบกับเธออีก เราพูดลากันสองสามคำแล้วเธอก็เดินผ่าน ตม. เข้าไป ก่อนหันมาโบกมือลาให้ผมอย่างอาลัยอาวรณ์

ถ้าผมรู้ว่าการจากลาครั้งนั้นทุกข์ทรมานใจขนาดนี้ ผมจะไม่ยอมให้เธอพรากจากผมเลย

:: :: :: :: ::

ผมปาดน้ำตาและกลั้นก้อนสะอื้นในใจ ลายมือที่คุ้นตาเขียนอยู่บนกระดาษข้างหน้านี่เอง
  
ผมได้แต่ซบหน้าลงกับลายมือของเธอ....

:: :: :: :: ::



เขียนครั้งแรก www.oknation.net/blog/konto
วันศุกร์ ที่ 10 ตุลาคม 2551
มิยูกิที่รัก (5) จดหมายฉบับสุดท้ายของมิยูกิ
Posted by คนโทใส่น้ำ , ผู้อ่าน : 4019
 

มิยูกิที่รัก ตอนที่ 4


“ตื่นขึ้นมารับอาหารเช้าได้แล้วค่ะเจ้านาย” เสียงมิยูกิกระซิบที่ข้างหู แถมด้วยหอมอีกฟ่อดใหญ่ที่แก้มของผม ความเย็นของเนื้อตัวที่เปียกน้ำและพันไว้ด้วยผ้าเช็ดตัวทำให้ผมต้องลืมตาตื่น

ผมมองดวงหน้าน่ารักของเธอ ไม่มีแววตาตื่นอายกับปรากฎการณ์พระจันทร์เป็นใจที่แสนจะดูดดื่มของเมื่อคืนที่ผ่านมา ผมขยับปากจะพูดขอโทษแต่เหมือนเธอจะรู้ จึงชิงใช้นิ้วชี้มาทาบปิดริมฝีปากของผม ผมจึงโน้มตัวเธอมานอนเคียงข้าง แล้วกระซิบประโยคที่ผมไม่เคยพูดกับหญิงสาวคนไหน

“มิยูกิ ผมรักคุณ”

“ไทซังพูดแบบนี้มากับผู้หญิงกี่คนแล้วเนี่ย”

“ฟูจิยาม่าเป็นพยาน มิยูกิเป็นคนแรกและคนเดียว”

มิยูกิหัวร่อคิกกับคำสาบานของผม พลางซุกไซร้ต้นคอแล้วงับที่ติ่งหู “ลุกขึ้นได้แล้ว โชเฟอร์ขี้เซา”

หลังอาหารเช้า ผมพามิยูกิขึ้นแท็กซี่ไปที่บ้านของผม เพื่อไปเอารถ เมื่อเดินผ่านรั้วบ้านเข้าไปพบคุณพ่อของผมกำลังอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ที่ระเบียงบ้าน ผมแนะนำมิยูกิให้คุณพ่อรู้จัก เธอยกมือขึ้นไหว้แล้วพูดไทยสำเนียงของเธอ

“สวัสดีค่ะ”

“สวัสดีครับ กินอาหารเช้ากันมาหรือยัง” พ่อของผมพูดตอบด้วยภาษาอังกฤษ

“เรียบร้อยแล้วครับ เดี๋ยวผมขอเอารถออกเลยนะครับ สายแล้วเดี๋ยวแดดร้อน” ผมตอบแทนมิยูกิ

พ่อของผมพยักหน้าและบอกกับเราสองคนว่า “เที่ยวให้สนุกนะ”

ความจริงผมได้คุยกับพ่อในคืนแรกหลังจากส่งมิยูกิที่โรงแรมแล้วทั้งเรื่องขอยืมรถและจัดการเรื่องงานที่ยังค้างอยู่ที่สำนักงาน พ่อของผมบอกว่าไม่ต้องห่วง แถมยังกระเซ้าผมด้วยว่า “สงสัยจะได้แฟนกับเขาซะที”

ผมเล่าให้มิยูกิฟังระหว่างนั่งแท็กซี่มาแล้วว่า ผมอยู่กับพ่อสองคนที่บ้าน เพราะแม่เสียชีวิตไปตั้งแต่ผมเข้ามหาวิทยาลัย ทำให้ตลอดเวลาที่เรียนอยู่ผมไม่ค่อยได้สนิทสนมกับใครมากนัก เพราะต้องมาช่วยพ่อดูแลทั้งที่บ้านและที่ทำงาน พ่อเองก็ดูเหงาไปมากตั้งแต่แม่จากไป ผมจึงไม่ค่อยได้ออกไปเที่ยวเตร่กับใคร เมื่อผมออกปากว่าจะเที่ยวกับสาว พ่อจึงสนับสนุนเต็มที่

:: :: :: :: ::

ข้อเท้าของมิยูกิค่อยยังชั่วแล้ว เธอจึงเดินชมความอลังการในอดีตของอยุธยาได้สบายๆ แต่แขนของเธอก็ยังเกาะแขนผมไว้ตลอดเวลา ผมเอาขาตั้งกล้องไปด้วย เราจึงถ่ายรูปคู่กันกับโบราณสถานของอยุธยากันอย่างมากมาย แต่แปลกที่มิยูกิไม่ใช้ฟิล์มสี ไม่ใช้สไลด์ เธอใช้ฟิล์มขาวดำ “เพราะมันให้ความรู้สึกเร้นลับมากกว่า” เธอบอกผมอย่างนั้น

เรากลับมาถึงโรงแรมเกือบสองทุ่ม ด้วยความเหนื่อยล้าเลยตกลงกันว่าจะไม่ไปเดินเล่นแล้ว จึงสั่งอาหารโรงแรมมากินกันในห้อง หลังจากอาบน้ำและกินอาหารกันเรียบร้อย เรานั่งดื่มไวน์กันที่ระเบียงห้อง คืนนี้พระจันทร์ยังสวยเหมือนเมื่อคืน

“ไทซังคิดจะแต่งงานไหม” มิยูกิถามขึ้นมา

“ผมเพิ่งทำงานได้ปีเดียว กะว่าจะหาประสบการณ์ในการทำงานไปก่อน” ผมเสออกไปนิดหนึ่ง

“ไม่ได้ถามเรื่องงาน ถามว่าคิดจะแต่งงานไหม เมื่อไหร่ก็ได้ แต่เคยคิดไหม” ผมโดนค้อนญี่ปุ่นเข้าซะแล้ว

“ก่อนหน้านี้ยังไม่เคยเจอคนที่ถูกใจเลย เลยยังไม่คิด”

“แล้วตอนนี้คิดแล้วหรือยัง”

“ยัง กะว่าจะหา..” เผียะ สงสัยมิยูกิเห็นยุงตัวเบ้อเริ่มที่แขนผม

“พูดจริงๆ สิ” น้ำเสียงชักโมโหแล้วแฮะ

“ผมอยากจะแต่งงานกับผู้หญิงสักคนที่รักผม และผมก็รักเธอ ผมอยากจะมีลูกผู้ชายคนหนึ่ง ผู้หญิงคนหนึ่ง..พอใจหรือยังจ๊ะ”

“มิยูกิก็อยากแต่งงาน มีครอบครัว อยากแต่งวันนี้ พรุ่งนี้เลย” เธอพูดพลางเงยหน้ามองพระจันทร์

“ล้อเล่นแล้ว แต่งวันนี้ พรุ่งนี้เหรอ มิยูกิจะหาเจ้าบ่าวที่ไหนกัน”

“ก็แต่งกับไทซังไง” เธอจ้องหน้าผมตาไม่กระพริบเลย

“ล้อเล่นแล้ว ล้อเล่นแล้ว” ผมเสเอามือจับมือของเธอมาถูกับเคราแข็งๆ ของผม เธอหัวร่อคิกคักพลางหยิกแขนผม ผมก็ไม่ได้เอะใจเลยว่าทำไมเธอพูดอย่างนี้

“ไปเข้านอนกันดีกว่า” เธอชวนพลางฉุดผมลุกขึ้น

มิยูกิจูงมือผมมาที่เตียงของเธอ ล้มตัวลงนอนหงายรอรับร่างของผมที่ล้มตามไป แล้วหฤหรรษ์ของค่ำคืนก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง....

:: :: :: :: ::

เขียนครั้งแรก www.oknation.net/blog/konto
วันพุธ ที่ 8 ตุลาคม 2551
มิยูกิที่รัก (4)
Posted by คนโทใส่น้ำ , ผู้อ่าน : 3176